ทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดในยุคออนไลน์

ในการดำเนินธุรกิจต้องอาศัยช่องทางออนไลน์ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง การซื้อขายสินค้า การมีช่องทางติดต่อสื่อสาร และช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การทำธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นที่ประชุมและส่งงานของพนักงานภายในบริษัท ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมาต่างเกิดขึ้นบนโลก Online แทบทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีธุรกิจอยู่อีกบางส่วนที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบออนไลน์ สาเหตุหลักข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือผู้ประกอบการยังไม่รู้แนวทางว่าจะ พัฒนาธุรกิจของตนเองในโลกออนไลน์อย่างไร สำหรับการพัฒนาธุรกิจในโลกออนไลน์ต้องทำอย่างไรนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
1.พิจารณาธุรกิจแล้วค้นหาจุดต่อยอด โดยพิจารณาดูที่ตัวธุรกิจเดิมของผู้ประกอบการก่อนเป็นอันดับแรกว่ามีส่วนไหนที่จะสามารถนำมาต่อยอดได้ เช่น การเพิ่มยอดขายหรือการลดจุดอ่อน
2.ค้นหาไอเดียความเป็นไปได้ในทางออนไลน์เพื่อช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจ หลังจากที่ได้ต่อยอดจากขั้นตอนแรกแล้ว เช่น ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์แต่ประสบปัญหายอดผู้ อ่านลดลงในแต่ละเดือนจึงเพิ่มวิธีการสร้างเว็บไซต์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถ เข้ามาดาวน์โหลดเพื่ออ่านแบบออนไลน์ และชำระเงินเป็นรายเดือนได้
3.ต้องหาคนจัดทำเว็บไซต์และวางระบบมาดำเนินการออกแบบและสร้างเว็บไซต์ให้ โดยพิจารณาจากฝีมือและความน่าเชื่อถือ เพราะคนที่จะมาทำเว็บไซต์และวางระบบให้กับผู้ประกอบการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังต้องร่วมงานและประสานความร่วมมือในการทำงานกันอีกนานมาก จึงควรต้องพิจารณาในเรื่องของลักษณะนิสัยใจคอและผลงานที่ผ่านมาของผู้ทำ เว็บไซต์และวางระบบด้วย
4.ขั้นตอนสุดท้ายก็คือติดตามผลสำเร็จของงาน เพราะงานการทำเว็บไซต์ไม่ใช่งานเอกสาร จึงต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการมากที่สุด ผู้ประกอบการจึงต้องติดตามความคืบหน้าของงานอยู่ตลอดเวลาจนไปถึงขั้นตอนออนไลน์
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีแนวคิดเป้าหมายที่ชัดเจน ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยจึงจะสามารถพัฒนาองค์กรได้ ผู้ประกอบการจึงควรนำเทคนิคที่มีอยู่แล้วกับเทคนิคสมัยใหม่มาประยุกต์เข้าหากัน เพื่อให้ทันกับยุคเทคโนโลยี

 

มาดูความเหมือนที่แตกต่างของ Online Marketing – Offline Marketing

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตจนแทบจะผันตัวเป็นปัจจัยที่ 6 ที่มนุษย์แทบจะขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะหาข้อมูล อ่านข่าว ช็อปปิ้ง เล่นเกมส์หรือเล่น Social กับเพื่อนๆ ต่างก็ต้องใช้อินเตอร์เน็ตด้วยกันทั้งสิ้น

ผลจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้เอง ทำให้สื่อออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารชิ้นสำคัญที่นักการตลาดพลาดไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นช่องทางการสื่อสารที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมากที่สุดในขณะนี้ หลายๆแบรนด์จึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญและสนใจทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น เพราะการทำการตลาดปัจจุบัน ไม่ได้จบอยู่แค่ออฟไลน์หรือออนไลน์อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นการตลาดแบบผสมผสาน (IMC : Integrated Marketing Communication) จึงไม่แปลกเลยที่หลายๆครั้งจะเห็นชาวออนไลน์แบกกล้องถือรีเฟลคซ์บ้าง ส่วนชาวออฟไลน์ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องออนไลน์เบื้องต้นเพื่อให้คำแนะนำกับลูกค้าได้เช่นกัน และยังมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับออนไลน์อีกมาก วันนี้ลองมาทำความเข้าใจเบื้องต้นกันค่ะ

1. ฮาร์ดเซลคือใช่

จากที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า Smartphone เข้ามามีบทบาทมากในปัจจุบัน ส่งผลให้ Social Media กลายมาเป็น Channel สุดฮิตในขณะนี้ ที่ไม่ว่าผู้บริโภคหรือแบรนด์ก็ต่างใช้งานกันอย่างสนุกสนาน เรื่องของการทำ Content จึงเป็นตัวกลางสำคัญที่จะช่วยเชื่อมให้แบรนด์สื่อสารสิ่งที่แบรนด์ต้องการพูดไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

การทำ Content ในโลกออนไลน์จะมีความแตกต่างจากออฟไลน์ตรงที่สามารถสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงพูดครั้งเดียวแล้วจบเหมือนนิตยสาร แต่เปรียบเสมือนเป็นรายการโทรทัศน์ที่มีให้รับชมกันทุกวัน และสามารถเลือกสร้างสรรค์ลักษณะ Content ได้ว่า จะให้เป็นแบบรายการข่าวตอนเช้าคือพูดข่าวสารของแบรนด์อย่างตรงไปตรงมา เช่นโปรโมชั่นหรือประชาสัมพันธ์แบรนด์หรือจะทำ content แบรนด์ให้เป็นแบบละครหลังข่าวคือใส่ความบันเทิงระหว่างการสื่อสารแบรนด์ ออนไลน์ก็สามารถเป็นได้ทุกบทบาท อาจจะผสมผสานทั้ง 2 ลักษณะเข้าด้วยกันก็เป็นได้ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ติดตามข่าวสารจากแบรนด์ไม่รู้สึกว่าแบรนด์ตึงเครียดและยัดเยียดการขายของมากเกินไป เพราะธรรมชาติของคน ย่อมต้องการรับสารที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและให้ความบันเทิงมากกว่าข่าวสารที่จริงจังตลอดเวลา เห็นได้จากเรตติ้งของละครหลังข่าวที่มักจะพุ่งสูงกว่ารายการข่าวเสมอ เช่นเดียวกัน ใช่ว่าผู้บริโภคที่กดติดตามแบรนด์ จะต้องการรับความฮาร์ดเซลจากแบรนด์อย่างเดียวเสมอไป

2. ต้อง Launch โฆษณาในช่วงที่คนเล่นอินเตอร์เนตเยอะที่สุดเวลาเดียวเท่านั้น

คนออฟไลน์ส่วนใหญ่มักจะเคยชินกับการซื้อ Offline Media ด้วยการซื้อช่วงเวลาการลงโฆษณาในแต่ละสื่อ แต่สำหรับการลงโฆษณาออนไลน์นั้นจะแตกต่างกันออกไป เพราะโฆษณาออนไลน์จะสามารถควบคุมความถี่ของการแสดงโฆษณาในแต่ละช่วงเวลาให้ตรงกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ เช่นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนวัยทำงาน อาจเริ่ม Launch แบนเนอร์ช่วงเช้าในเวลางาน แต่ปรับให้แบนเนอร์แสดงมากที่สุดในช่วงหลังเลิกงานหรือ Prime Time เพราะเป็นช่วงที่คนใช้อินเตอร์เนตมากที่สุด และลดจำนวนลงในช่วงหลังเที่ยงคืน เพราะเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่เข้านอน เป็นต้น

3. ใส่ Effect ในแบนเนอร์ได้เต็มที่เหมือนวีดีโอ

งานออกแบบ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจินตนาการ แต่เราไม่สามารถยัดทุกจินตนาการของเราลงไปในงานออกแบบได้ทั้งหมด การทำแบนเนอร์ก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่ลูกค้าอาจต้องการให้ออกแบบแบนเนอร์โดยอ้างอิงกับสื่ออื่นๆที่ทำ โดยเฉพาะ TVC ซึ่งเป็น สื่อที่มีความเหมือนกับแบนเนอร์คือสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ต่างกันที่ TVC สามารถสร้างสรรค์ Effect ได้มากมายแค่ให้อยู่ภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น แต่สำหรับแบนเนอร์ นอกจากข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาแล้ว ยังมีข้อจำกัดของขนาดไฟล์ซึ่งขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละเว็บไซต์ เช่น การทำแบนเนอร์สำหรับ Google Display Network จะสามารถทำได้เพียง 150 KB เท่านั้น ดังนั้น ความใฝ่ฝันที่จะทำ Effect ไฟฟ้าช็อตเป็นเส้นๆหรือใส่ Effect ระเบิดตู้มแบบในละคร จึงจำต้องสลายไป

4. ข้อความต้องให้เยอะเข้าไว้

ต่อเนื่องจากข้อ 3 ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างของแบนเนอร์ที่ทำให้ใส่ Visual เยอะเท่าที่ใจต้องการไม่ได้ หลายคนจึงเปลี่ยนเป็นขอใส่ Text แทน ได้มั๊ยคะ ทั้งโปรโมชั่นเอย ของรางวัลเอยหรือเงื่อนไขก็ดี ทุกอย่างถูกยัดลงในแบนเนอร์ อย่างที่บอกไปว่าการทำแบนเนอร์ก็เป็นเหมือนการออกแบบงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมองเรื่องของความสวยงามที่จะช่วยดึงดูดความสนใจ ถูกลดทอนลงไปเพราะข้อความที่อัดแน่นเต็มพื้นที่แล้ว ยังทำให้ผู้บริโภคอาจพลาด Message หลักที่แบรนด์ต้องการสื่อสารจริงๆไปได้ เพราะถูกข้อความอื่นๆที่สำคัญรองลงมาแย่งความสนใจไปหมด และแบนเนอร์ก็จะถูกมองข้ามไปในที่สุด

5. ต้อง Keywords นี้เท่านั้นถึงจะดี

นอกจากการโฆษณาบนเว็บไซต์แล้ว Google ก็ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางของที่ช่วยให้เพิ่มยอดขายได้อย่างดี โดยเป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่ทำให้โฆษณาหรือเว็บไซต์ของเราปรากฏในหน้า Google เวลาที่ผู้บริโภคต้องการหาข้อมูล การเลือก Keywords จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญสำหรับการทำโฆษณาบน Google และแน่นอนอยู่แล้วว่า Keywords ที่เลือกใช้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ แต่ใช่ว่าคำที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรงจะต้องเป็น Keywords ที่ดีเสมอไป โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม มักจะเลือก Keywords ที่เป็นศัพท์เฉพาะและน้อยคนนักจะรู้จัก จึงทำให้อาจจะพลาดโอกาสในการได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพราะไม่สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆที่อาจจะยังไม่รู้จักแบรนด์แต่เริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ก็เป็นได้ ทั้งนี้ นอกจากความเกี่ยวข้องกับแบรนด์แล้ว ยังต้องพึ่งพาอัตรา Search Volume ช่วยชั่งน้ำหนักในการตัดสินใจเลือก Keywords ควบคู่กันไป เพราะบางสิ่งที่อาจดีงาม เหมาะสมสำหรับเรา อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับคนอื่นๆ

ถ้าว่ากันตามหน้าที่ เราคือผู้ให้คำแนะนำกับลูกค้าในการทำ Marketing เพื่อให้แบรนด์ของลูกค้าแกร่งกว่าคู่แข่ง แต่ในขณะเดียวกัน ลูกค้าก็คือผู้ให้บทเรียนหลายๆอย่างกับเรา ที่จะเป็นประสบการณ์ให้เราแกร่งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

ข้อได้เปรียบในการขายสินค้าทางโลกออนไลน์ดีกว่าออฟไลน์

ความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาตามยุคสมัยได้นำพาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ที่โดดเด่นและจับต้องได้มากที่สุดคงจะเห็นเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี เพราะการถือกำเนิดขึ้นของเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นต้องยอมรับว่ามีส่วนช่วยผลักดันและอำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์อันทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกปัจจุบันนั่นก็คือ อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการทำธุรกิจอินเตอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้นการเปิดเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

ปัจจุบันกระแสตอบรับเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์มีผลตอบรับค่อนข้างดี คนรุ่นใหม่ใช้อินเตอร์เน็ตกันเป็นหมด จะหาข้อมูล จะทำอะไร ก็ใช้อินเตอร์เน็ตกันแทบทั้งนั้น  ดังนั้นเรามาทราบประโยชน์ของการสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้ามีดังต่อไปนี้

ความประหยัด
ถือเป็นจุดเด่นที่สามารถจับต้องได้ชัดเจนมากที่สุดของการ สร้างเว็บไซต์ขึ้นมาขายสินค้า เพราะถ้ามาลองจับคู่เทียบความแตกต่างระหว่างการมีร้านขายสินค้ากับการใช้เว็บไซต์เป็นตัวช่วยขายสินค้าให้ทางบริษัทแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถมองเห็นภาพความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่า การขายสินค้าผ่านทางโลกออนไลน์จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก เพราะเว็บไซต์แทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลยเพียงแค่เสียค่าโดเมนและค่าทำเว็บเท่านั้น หรือจะเลือกใช้เว็บสำเร็จรูปก็ยิ่งสะดวก นี่เลยเป็นทางเลือกที่ดีมากในการออกสตาร์ทเริ่มทำธุรกิจ

ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ลูกค้าสามารถเลือกชมหรือสั่งซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชม. โดยไม่ต้องเดินทาง ด้วยความที่ว่าการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมทุกคนจากทุกมุมโลกให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านทางเวิล์ดไวด์เว็บ การมีเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าจึงเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อซื้อสินค้าให้มีมากขึ้นและยังเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาดูและเลือกซื้อสินค้าถึงบริษัทหรือหน้าร้านที่จัดจำหน่ายด้วยตนเองซึ่งเป็นการเสียเวลาพอสมควรในปัจจุบันที่มีสาเหตุจากการจราจรที่ติดขัด อีกทั้งการมีเว็บไซต์ยังสามารถทำให้ซื้อขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงขจัดปัญหาข้อจำกัดทางด้านเวลาออกไป

ไม่เหนื่อยกับเรื่องจิปาถะ
การใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าจะมีข้อได้เปรียบมากกว่าการลงทุนเปิดร้านหรือโชว์รูมเป็นของตนเอง เพราะการมีหน้าร้านเพื่อขาย ต้องเสียค่าเช่า ค่าตกแต่ง ค่าจ่างพนักงานและอื่นๆอีกจิปาถะ รวมถึงต้องเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลเปิดและปิดร้าน ซึ่งอาจจะไม่คุ้มค่ามากสักเท่าไหร่ สำหรับธุรกิจที่พึ่งจะเริ่มลงมือสร้างใหม่ของผู้ประกอบการโดยเฉพาะในเรื่องของการคืนทุน

มีสิ่งดึงดูดทั้งสีสรรและลูกเล่นต่างๆ
ด้วยความที่สื่อออนไลน์บนโลกไซเบอร์เป็นเรื่องของเทคโนโลยีและสีสัน สิ่งต่างๆเหล่านี้จึงถือเป็นข้อได้เปรียบในการนำเสนอขายสินค้ามากกว่าวิธีปกติธรรมดาทั่วไปๆ ผู้ประกอบการอาจจะใช้ลูกเล่นในการนำเสนอด้วยการตกแต่งภาพของสินค้าและองค์ประกอบภายในรูปให้น่าสนใจและดึงดูดมากยิ่งขึ้น ใช้วิธีการสร้างวีดีโอนำเสนอสาธิตวิธีการใช้งานสินค้าโดยผู้เชี่ยวชาญหรือดาราผู้มีชื่อเสียงก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจไม่น้อย ส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้รับชมได้จึงเป็นแท็คติกที่มีความน่าสนใจอยู่อย่างมากสำหรับการขายสินค้าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

เกิดการบอกต่อได้อย่างรวดเร็ว
สามารถกระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัจจุบันนี้ได้มี Social Network เข้ามาในชีวิตประจำวันทำให้เกิดการบอกต่อ หรือแชร์สู่ผู้บริโภคได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นตัวช่วยทำให้การขายหรือแนะนำสินค้านั้นมีประสิทธิภาพไม่แพ้สื่อประเภทอื่นเลยที่เดียว

 

 

การตลาดออนไลน์มีความสำคัญต่อธุรกิจในปัจจุบัน


ปัจจุบันผู้คนหันมาใช้เวลาผ่าน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ มากขึ้นเรื่อยๆ แทนการดูทีวี นอกเหนือจากกิจกรรมเพื่อความบันเทิงแล้ว การใช้งานอินเตอร์เน็ตยังเกี่ยวข้องกับเรื่องงาน การหาข้อมูล การซื้อสินค้า และบริการ โดยทุกคนหันมาใช้ Google เพื่อหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ในการทำการตลาดออนไลน์ก็เช่นเดียวกันจะต้องใช้ อินเตอร์เน็ต เป็นส่วนสำคัญในการประชาสัมพันธ์ และเมื่อพูดถึง อินเตอร์เน็ต ก็เป็นสิ่งที่ใหม่ที่สุด สำหรับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เมื่อเทียบกับการประชาสัมพันธ์แบบอื่นๆ ในโลกที่มีความแข่งขันสูง และทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก การตลาดออนไลน์ จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ใช้ช่วยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เนื่องจากการตลาดออนไลน์นั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีและรวดเร็ว สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้แบบเฉพาะเจาะจงที่สำคัญค่าโฆษณาเมื่อเทียบกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบอื่นๆนั้น การตลาดออนไลน์ เป็นอะไรที่ถูกที่สุดนอกจากนี้ การตลาดออนไลน์ สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และการให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ข้อดีของการทำการตลาดออนไลน์
1.สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเนื่องจากเนื้อหาที่ทำขึ้นมานั้นเกี่ยวข้องกับ และคนที่สนใจอ่านเนื้อหาที่ทำนั้นคือคนที่สนใจจะซื้อสินค้า ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง
2.เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า เพราะเป็นการให้ข้อมูลกับลูกค้าที่กำลังมีความสนใจในสินค้าโดยสามารถให้ข้อมูลได้อย่างละเอียดโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
3.ลูกค้าเป็นคนเข้าหา โดยจะต้องเตรียมข้อมูลนั้นให้พร้อม เมื่อลูกค้าสนใจ และต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และเมื่อลูกค้าสนใจก็จะเป็นคนเข้ามาหาเอง
4.สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่จากทุกมุมโลก
5.สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพได้ โดยตรวจสอบช่องทางที่ลูกค้าเข้าถึงได้ จำนวนลูกค้า และจำนวนการสั่ง ซื้อสินค้าได้
6.สะดวกและประหยัดเวลาในการนำเสนอสินค้า เพราะสามรถใช้ตัวหนังสือแทนได้ โดยไม่ต้องจ้างนายแบบนางแบบทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาได้มาก
7.ให้ผลการตอบแทนจากการลงทุนสูง เพราะการตลาดออนไลน์ใช้เงินจำนวนน้อย ซึ่งส่งผลถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุนในการโฆษณา

ดังนั้นการทำการตลาดออนไลน์ถือได้ว่าเป็นการทำการตลาดที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก เพราะมีค่าใช้จ่ายน้อย แต่ได้ผลจากการลงทุนสูง จึงทำให้ผู้ประกอบการต่างๆหันมาทำการตลาดในด้านออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การตลาดในรูปแบบ ออฟไลน์และออนไลน์แบบไหนที่จะเหมาะกับธุรกิจSME

สำหรับสื่อออนไลน์ในยุคปัจจุบันนี้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนสื่อแบบออฟไลน์ได้ทั้งหมดโดยสามารถแบ่งเป็นสื่อแบบออฟไลน์เป็นการสื่อสารการตลาดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเตอร์เน็ตออนไลน์ก็เป็นการสื่อสารการตลาดโดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็นตัวเชื่อม ซึ่งในการตลาดจำเป็นจะต้องใช้ทั้ง ออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งข้อดีของสื่อแบบออฟไลน์คือคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเห็นได้ทั่วถึงแต่มีราคาแพง สำหรับสื่อแบบออนไลน์ข้อดีคือบางอย่างฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเท่าไรสามารถโปรโมทได้ทั่วถึง
ในปัจจุบันนี้มีการใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นในธุรกิจSMEโดยการสร้างเวปไซต์ขึ้นมาเป็นหน้าร้านค้าในการลงสินค้าเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อ ซึ่งการสร้างเว็บไซต์นั้นสามารถสร้างเองหรือเลือกใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปได้ โดยการสร้างเว็บไซต์ต้องคำนึงว่าจะสื่อถึงอะไร ขายสินค้าเกี่ยวกับอะไรบ้าง เพื่อจะได้เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับธุรกิจนั้น และจะต้องอัพเดทข้อมูลและสินค้าใหม่ตลอด เพื่อให้เกิดการติดตามของลูกค้าและผู้ที่สนใจ นอกจากนี้ควรจะทำเว็บไซต์ของธุรกิจให้ติดอันดับการค้นหาจาก search engine ด้วยเพื่อเป็นการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และยังเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงของธุรกิจมากขึ้นอีกด้วย เพราะเมื่อมีการติดอันดับในหน้า search engine แล้วจะทำให้มีผู้ที่สนใจเข้ามารู้จักกับธุรกิจเพิ่มขึ้นทั้งจะส่งผลให้เพิ่มยอดขายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจด้วย
ทั้งนี้การนำเอาสื่อการตลาดแบบออนไลน์มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากในปัจจุบันเพราะสังคมเป็นสิ่งที่เชื่อมถึงกันแล้ว การตลาดแบบบอกผ่านปากต่อปากนั้นจะมีความรวดเร็วมากขึ้นจากสังคมออนไลน์ เพราะปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนใหญ่จะSocial media เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำธุรกิจ เพราถ้าสินค้าดีมีการอัพเดทตลอดเวลาและมีการบริการที่ดีแล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่อการทำตลาดเป็นอย่างมาก

ฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ว่า การใช้สื่อการตลาดแบบออฟไลน์และแบบออนไลน์ นับเป็นการทำตลาดที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ล้วนแต่เป็นการช่วยสนับสนุนช่องทางการตลาดทั้งสิ้น เพื่อขยายโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นด้วย

การพัฒนาธุรกิจการบริการที่มีมาตรฐานเทียบกับสากล

ปัจจุบันผู้คนที่อาศัยในประเทศไทยมีรายได้มากขึ้น

การศึกษาดีขึ้น ตลอดจนมาตรฐานการครองชีพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ประชาชนให้ความสำคัญกับธุรกิจบริการมากขึ้น เช่น สปา คลับออกกำลังกาย ร้านคาราโอเกะ ร้านเสริมสวยเสริมความงาม แต่งหน้าทำผม ทำเล็บ เปลี่ยนสีผม ลดความอ้วน ขัดผิวรวมทั้งทำหน้าให้มันเด็กลง ดังนั้นธุรกิจบริการจึงมีความจำเป็นและเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกสบายและความพอใจให้กับลูกค้า ในยุคกระแสโลกาภิวัฒน์การดำเนินธุรกิจบริการในปัจจุบันธุรกิจควรที่จะเน้นคุณภาพในเรื่องการบริการเหนือความคาดหวังของลูกค้ากล่าวคือ สามารถสร้างความรู้สึกและความประทับใจที่ดีให้เกิดขึ้นกับลูกค้าเกินกว่าที่ลูกค้าต้องการมิใช่เพียงทำให้ลูกค้ารู้สึกเฉยๆ

ร้านอาหารส่วนใหญ่เราจะถือว่าธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจบริการ แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง ผู้เข้ารับบริการในร้านอาหารก็จะได้สินค้าที่จับต้องได้และมีตัวตน คือ อาหารที่สั่งมาทานเป็นสิ่งตอบแทนเงินที่จ่ายไป รสชาติของอาหาร ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพในการบริการเช่นกัน ดังนั้นการจะชี้ระบุว่าธุรกิจใดเป็นธุรกิจบริการ จึงจำเป็นจะต้องกำหนดลักษณะที่แตกต่างและโดดเด่นของธุรกิจบริการออกจากธุรกิจอื่นๆให้ได้เสียก่อน เพราะธุรกิจบริการจะมีนัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่แตกต่างออกไปจากธุรกิจการผลิตหรือธุรกิจการค้าขายสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและเจริญเติบโตต่อไปได้

คุณภาพของการบริการจะเป็นที่พึงพอใจของลูกค้าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของผู้บริหารที่ต้องทราบความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ซึ่งแต่ละรายก็มีความพึงพอใจแตกต่างกันออกไปเช่นบางคนมาแต่งหน้ามีความต้องการหลายแบบโดยที่แต่ละแบบนี้จะต้องให้เข้ากับใบหน้าด้วยโลกแห่งธุรกิจบริการยังไม่สามารถเบียดบังความเปลี่ยนแปลงที่เปรียบได้ประหนึ่งคู่แข่งอีกรายของคนที่ทำธุรกิจทุกประเภททุกยุคทุกสมัยที่คอยขัดขวางความสำเร็จถ้าไม่รู้จักบริหารจัดการมันให้ดี โลกของธุรกิจบริการถือว่าเป็นโลกที่เปลี่ยนไปรวดเร็วจากเดิมมาก

การยกระดับธุรกิจสู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพธุรกิจ และมาตรฐานสากล

โดยจัดทำเกณฑ์คุณภาพธุรกิจให้เหมาะสมกับรายสาขาธุรกิจเป้าหมายให้มีมาตรฐานเทียบกับสากล สะท้อนจุดแข็ง จุดอ่อนที่แท้จริงของธุรกิจสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาปรับปรุงได้อย่างตรงประเด็น โดยจัดหาผู้เชี่ยวชาญไปให้คาปรึกษาแนะนำเชิงลึกถึงสถานประกอบการเพื่อให้ธุรกิจสามารถพัฒนำเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพสำหรับธุรกิจที่ได้ กำหนดเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพแล้ว ได้แก่ โลจิสติกส์ ธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนน ธุรกิจบริการ(ก่อสร้าง ธุรกิจอู่ซ่อมรถ ธุรกิจสปา ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจบริการผู้สูงอายุ) ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก และแฟรนไชส์ ซึ่งธุรกิจที่ผ่านมาตรฐานภายในแล้ว ก็จะมาประเมินว่าสามารถยกระดับ ไปสู่มาตรฐานสากลได้หรือไม่

การทำธุรกิจในการโปรโมชั่นและแคมเปญที่ใช้ได้ทั้งร้านออนไลน์และออฟไลน์

5

เมื่อไม่มีธุรกิจหน้าร้านก็ไม่มีธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นเคมเปญที่มีการโปรโมตมากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ในขณะที่ธุรกิจบางอย่างอาจระบุไม่ได้ว่าเป็นแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจแบบประยุกต์ที่สามารถปฏิบัติงานได้ทั้งสองช่องทาง โดยสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสองสิ่งนี้ คือโซเชียลมีเดียเป็นธรรมดาที่ธุรกิจแบบอีคอมเมิร์ซจะทำการโปรโมตสินค้าและบริการผ่านทางโซเชียลมีเดีย ส่วนร้านค้าที่มีหน้าร้านก็ใช้กลยุทธ์ทั่วๆ ไป อย่างจดหมายทางตรง (Direct Mail) ซึ่งเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์เพื่อติดต่อกับลูกค้าแบบตัวต่อตัว โปรโมชั่นในร้านค้าอาจไม่จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า แต่สามารถทำให้ลูกค้าตื่นตัวรู้ล่วงหน้าก่อนจากการใช้โซเชียลมีเดีย โฆษณาออนไลน์ หรืออีเมลในการเผยแพร่

สร้างโปรโมชั่นทางอีคอมเมิร์ซ โดยร้านค้าออฟไลน์เป็นไปได้ยากที่ธุรกิจขายเสื้อผ้าจะขายได้โดยที่ลูกค้าไม่ได้ลองสวมใส่ ไม่เห็นคุณภาพของการตัดเย็บและเนื้อผ้าที่แท้จริง แต่แบรนด์เทย์เลอร์เมดรับตัดเสื้อสูทอย่าง Indochino สามารถขายสินค้าให้กับลูกค้าทางออนไลน์ได้ โดยการเสนอโปรแกรม Traveling Tailor ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกสไตล์ของตนเองจากแบบจำลอง เลือกแบบสูทที่ชอบ และวัดตัวผ่านระบบออนไลน์ เสมือนไปตัดสูทกับผู้เชี่ยวชาญด้านเสื้อผ้าโดยตรง

ทำออนไลน์โปรโมชั่น โดยร้านค้าแบบดั้งเดิมพันคำอธิบายก็เทียบไม่ได้กับรูปภาพเพียงภาพเดียว ร้านตัดผมร้านหนึ่งในเมือง Provo, Utah สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ภาพทรงผมของลูกค้าที่มาตัดผมกับทางร้านทุกๆ วัน ซึ่งสร้างความสนใจให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากในทำนองเดียวกันกับ Clark Walker ร้านตัดผมชื่อดัง ก็ได้ใช้ Instagram มาเป็นตัวช่วยในการโปรโมตการบริการของร้าน ซึ่งตัวอย่างนี้มีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งในเมืองไทยเองก็ตาม

แคมเปญที่ใช้ได้ทั้งร้านออนไลน์และออฟไลน์Coolhaus บริษัทไอศกรีมที่ทำธุรกิจในรูปแบบบริการรถขนส่งสำหรับงานเลี้ยงปาร์ตี้ และมีการขายผ่านทางออนไลน์ด้วย โดยแบรนด์ได้ออกโปรโมชั่นพิเศษ สร้างสูตรแซนวิชไอศกรีมชื่อว่า “Killer Combo” เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษและโปรโมตผ่านทาง Instragran เพื่อล่อลูกค้าจากทั่วทุกมุมเมืองมาสั่งไอศกรีมทานทั้งทางหน้าร้านและร้านออนไลน์ กระแสข่าวเช่นนี้เรียกว่าsocial buzz ทำให้มียอดขายถล่มทลายตั้งแต่แบรนด์เคยก่อตั้งมาจะเห็นได้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นพระเอกของการโปรโมตแคมเปญการตลาด ไม่ว่าธุรกิจร้านค้าประเภทไหนก็สามารถเรียกลูกค้าจากสื่อนี้ได้ หากนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง

Online และ Offline Marketing กับการทำธุรกิจขายห้องพักโรงแรม

มีโรงแรมจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจและให้ความสำคัญกับคำว่า Online Marketing คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เป็นเพราะโรงแรมเหล่านั้นให้นิยามของคำว่า “Marketing” เพียงแค่การขาย มากกว่าการใช้ประโยชน์ของการตลาดแบบบูรณาการในทุกๆ ด้าน

สำหรับบทบาทของ Online และ Offline Marketing ที่เกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อสินค้า/บริการของลูกค้าไปใช้นั้น มีรูปแบบของความสัมพันธ์กันดังต่อไปนี้
1. Offline Marketing – Online Purchase เป็นการตลาดแบบดั้งเดิมทั่วไปผ่านช่องทาง Offline แต่วิธีการสั่งซื้อสินค้า/บริการ ทางธุรกิจมีช่องทาง Online เข้ามาใช้เพื่อความสะดวกในการจัดจำหน่าย แนวทางนี้จะมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และโปรโมตสินค้าผ่านช่องทางการตลาดแบบ Offline ต่างๆ โดยให้ลูกค้าทำการสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ของธุรกิจที่จัดเตรียมไว้ในการขายสินค้า
2. Offline Marketing – Offline Purchase เป็นการตลาดแบบดั้งเดิมทั่วไปผ่านช่องทาง Offline และยังคงใช้วิธีการสั่งซื้อสินค้า/บริการ แบบดั้งเดิมผ่านช่องทาง Offline ธุรกิจจะทำการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการขาย ผ่านช่องทาง Offline และสั่งซื้อสินค้าผ่านทางช่องทาง Offline รูปแบบนี้จัดได้ว่าเป็นรูปแบบการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง โดยไม่มีการนำเอาเทคโนโลยีทางด้าน Online มาใช้เลย
3. Online Marketing – Online Purchase เป็นการตลาดรูปแบบใหม่ผ่านสื่อและช่องทางการตลาดแบบ Online และมีระบบ Online Distribution สำหรับการสั่งซื้อ-ขายสินค้าอย่างสมบูรณ์ รูปแบบนี้เป็นรูปแบบการตลาดแบบ Online โดยสมบูรณ์ ที่ทางธุรกิจต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยี และช่องทางการจัดจำหน่ายแบบ Online มารองรับการซื้อ-ขาย หากไม่พัฒนาด้วยตนเองก็อาจจะเลือกใช้บริการช่องทางจัดจำหน่าย Online ในลักษณะของ Third Party
4. Online Marketing – Offline Purchase เป็นการตลาดผ่านสื่อและช่องทางการตลาดแบบ Online แต่ไม่มีการซื้อ-ขาย ผ่านช่องทาง Online รูปแบบนี้เป็นวิธีได้รับความนิยมอยู่เป็นอย่างมากในขณะนี้ เพราะธุรกิจต่างๆ สามารถใช้ช่องทาง Online ต่างๆ มาใช้กับการตลาดของตนเอง และมีช่องทาง Online ไม่น้อยที่มีให้ใช้ได้ฟรี และได้รับความนิยม

การที่จะเลือกใช้การตลาดในรูปแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของแต่ละ Segment ว่าจะสามารถใช้ช่องทางการสื่อสารการตลาด (Marketing Communication) รูปแบบใดจึงจะเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม การที่จะเลือกใช้วิธีการจัดจำหน่าย และซื้อ-ขายสินค้าวิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในการซื้อสินค้าของลูกค้าแต่ละกลุ่มว่าจะนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าใด อีกทั้งศักยภาพของธุรกิจในการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายด้วย

จะเห็นได้ว่าทั้น Online และ Offline Marketing นั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือส่งผลต่อการขายในด้านใดด้านหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งหมายความว่าความสำเร็จของการใช้ Online Marketing ไม่ได้วัดผลจากการซื้อ-ขาย สินค้าผ่านช่องทาง Online แต่เพียงอย่างเดียว เพราะลูกค้าอาจจะเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Offline ก็เป็นไปได้ ในขณะเดียวกัน Offline Marketing ก็อาจจะมีการเข้ามาใช้ช่องทาง Online ในการหาซื้อสินค้า/บริการ ก็มีไม่ใช่น้อย
ในปัจจุบัน Online Marketing นั้นจัดได้ว่าเป็นรูปแบบและช่องทางการตลาดที่ต้นทุนต่ำ ครอบคลุมตลาดได้กว้างไกล ได้ผลรวดเร็ว และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า Offline Marketing แบบดั้งเดิมอยู่เป็นจำนวนมาก

การทำการตลาดโลก ออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์

อินเตอร์เน็ต หรือ โลกออนไลน์ นับวันยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะ ธุรกิจ ที่ โลกออนไลน์ คือช่องทางติดต่อสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง หลายองค์กรหรือหลายบริษัทจึงต่อยอดหรือแตกแขนงธุรกิจของตนเข้าสู่ โลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์อย่าง เฟซบุค ทวิตเตอร์

การตลาดในยุคปัจจุบัน หันมาใช้ด้าน Online Marketing มากขึ้น ด้วยเหตุที่ว่า อินเตอร์เน็ตนับมีส่วนสำคัญในการขยายฐานลูกค้าให้แก่ผู้ประกอบการ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าจำนวนมากหันมาค้นหาข้อมูลในโลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกๆ วัน ตลอดจนทั้งการแข่งขันในการเรื่องขอการนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายมีการ แข่งขันการอย่างมาก โดยเฉพาะการทำการตลาดผ่าน Social Media ช่วยให้คุณทำการตลาดได้ง่ายขึ้น และมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการทำการตลาดแบบ ออฟไลน์ เป็นอย่างมาก ประกอบกับการทำการตลาดผ่าน Social Media โดยเฉพาะ Facebook นั้นมีขั้นตอนที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเหมือนเว็บไซต์ และลูกค้าที่กดไลท์ชอบสินค้าหรือบริการของเรายังสามารถแชร์ให้เพื่อนเห็น เกิดเป็น Network มีผลให้สินค้าและบริการของเรามีการแพร่กระจายต่อไปยังผู้บริโภคคนอื่นๆ อีกด้วย  ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ ท่าน ต้องหันมาปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

ออฟไลน์  รูปแบบการทำงานในสมัยเก่า เป็นธุรกิจเครือข่ายในลักษณะที่ไม่มีการใช้เทคโนโลยีทาง internet ใช้วิธีการติดต่อธุรกิจแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า Viral Marketing เพื่อทำการขายสินค้า รวมไปถึงชวนคนเข้าร่วมธุรกิจ

ออนไลน์ รูปแบบการทำการตลาดบน Internet แบบออนไลน์เป็นการทำการตลาดกับผู้ที่ใช้ Search engine หรือ Social Media ซึ่งเทคโนโลยีทางด้าน IT นั้นได้เข้ามาช่วยเหลือทำให้ผู้คนสะดวกสบายมากขึ้น ธุรกรรมต่างๆก็ใช้ website เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อกับผู้คนทั่วโลกที่กำลังออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Email , VDO และสื่อดิจิตอลอื่นๆ

แล้วเราจะเลือกแบบ Online หรือ Offline ดีล่ะ
วิธีการเลือกที่ดีที่สุดนั้นคือเลือกในแบบที่เราถนัด เพื่อสร้างผลลัำพธ์ให้เร็วที่สุดก่อน แล้วต้องรีบศึกษาวิธีที่เราไม่ถนัดควบคู่ไปด้วย เพื่อทำให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคง

โดยจะเห็นว่าปัจจุบันนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีการใช้เทคโนโลยี Online เข้ามาช่วยจะสามารถเติบโตได้เร็ว เพราะเป็นการทำตลาดกับคนได้กว้างขวางกว่า และมีระบบในการคัดกรองคนที่น่าสนใจ ทำให้ลดอัตราการออกของนักธุรกิจ เพราะนักธุรกิจล้วนมีความสนใจอยู่แล้ว ทำให้ไม่เหนื่อยในการทำงาน แต่องค์กรจะมั่นคงได้ก็ต่อเมื่อคนในองค์กรมีการเชื่อมความสัมพันธ์กัน ได้รู้จักกัน มีการช่วยเหลือกัน ก็จะสามารถทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคง

สำหรับนักธุรกิจแบบออฟไลน์ ถ้าหากถนัดด้านนี้ก็ควรใช้ทักษะที่ตัวเองมีหาผู้มุ่งหวังที่เรารู้จักให้ได้เร็วที่สุดก่อน และจะต้องเตรียมศึกษาวิธีออนไลน์ไว้ด้วย เพราะเราจะต้องรู้ความจริงที่ว่าเมื่อผู้มุ่งหวังของเราใกล้หมดเมื่อใด เราก็จำเป็นที่ต้องมีรายชื่อผู้มุ่งหวังใหม่ๆเข้ามา ซึ่งวิธีการทำออนไลน์ก็จะเป็นวิธีที่สามารถส่งทรัพยากรมาให้เราได้อย่างต่อเนื่อง เพราะโลกในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก การใช้วิธีออฟไลน์ เราจะมาชวนคนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง โดยใช้เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า และไม่รู้ว่าผู้มุ่งหวังจะสนใจหรือไม่ โลกในยุคปัจจุบันคุณจะค่อยๆถูกพวกออนไลน์แซงไปทีละนิด และเมื่อยิ่งเวลาผ่านไปยาวนานเท่าใด คุณจะยิ่งถูกแซงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การใช้วิธีออนไลน์ต้องอย่าลืมจัดระบบการเทรนนิ่งและรักษาคนในองค์ให้ดี เพราะนี่คือจุดอ่อนของวิธีออนไลน์เช่นกัน

การตลาดในยุคปัจจุบัน หันมาใช้ในรูปแบบออฟไลน์ และออนไลน์

การตลาดทางอินเตอร์เน็ต-300x225
การตลาดบนโลกออนไลน์ จะเริ่มเข้าไปมีบทบาทเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจหน้าร้านค้าปกติ (ออฟไลน์) ได้อย่างมาก อย่างเช่น หลายคนหาข้อมูล-ส่วนลดร้านอาหารจากทางออนไลน์ผ่านบริการของ ดีลพิเศษแต่ละวัน (Daily Deal) เพื่อไปทานอาหารกับเพื่อนๆ หรือลูกค้า บางคนส่อง QR Code เพื่อรับข้อมูล ณ.จุดขายเพื่อสามารถดูข้อมูลสินค้าและรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นได้ ดังนั้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากโลกออนไลน์ไปกระตุ้นหรือทำให้คนตัดสินใจซื้อสินค้าในโลกออฟไลน์กำลังจะเริ่มเติบโตมากขึ้น ซึ่งบางธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขายและจำนวนลูกค้าได้มหาศาลจากการตลาดลักษณะนี้

การทำตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ถือว่าเป็นแนวทางที่มาแรงมากในยุคนี้ทางบริษัทตัวแทนโฆษณาจึงพิจารณากันใหม่โดยสร้างเป็นนวัตกรรมหนึ่งทางด้านการ ตลาดก็คือ จะแบ่งเป็น 2 แนวทางคือ
1. การตลาดแบบ Offline Marketing คือ การสื่อสารการตลาดโดยใชเครื่องมือกลุ่มAbove the line และ กลุ่ม Below the line Activities กล่าวคือ กิจกรรมทางโฆษณา การตลาดและการขายที่มองเห็นไม่เกี่ยวกับอินเตอร์เนต จับต้องได้นั่นเอง
2. การตลาดแบบ Online Marketing คือ การตลาดทีมีกิจกรรมบนไซเบอร์หรือระบบอินเตอร์เนตทั้งหมดนั่นเองไม่ว่า จะเป็นการซื้อการขาย การโฆษณาหรือการวางแผนการตลาดผ่านทางอินเตอร์เนต ซึงปัจจุบันจะมีความสำคัญมากและสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมากทีเดียว ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

การทำตลาดออนไลน์
วิธีการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ องค์ประกอบต่างๆ ของการตลาดแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ผู้ประกอบการซึ่งมีหน้าร้านบนโลกไซเบอร์แห่งนี้จะต้องทำความเข้าใจเป็น อย่างดี เพื่อจะได้จัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างเหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในช่วงเริ่มต้นนั้นการตลาดอาจเป็นเรื่องยากของผู้ประกอบการหน้าใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ แต่การศึกษาหาข้อมูล และการทำความเข้าใจในวิธีการการตลาดจะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพิ่ม เติมความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย การใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์นั้น สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และให้บริการได้ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง โดยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 600 ล้านคนทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ ผู้ขายจะต้องศึกษาเรื่องของสินค้า, ช่องทางการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อประเภทนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ดังนั้นการมีเว็บไซต์เพื่อจำหน่ายสินค้าจึงไม่ใช่เครื่องรับประกันความสำเร็จทาง ธุรกิจ เพราะยังมีองค์ประกอบที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ “การตลาด” แต่เดิมนั้น หลายท่านอาจจะรู้จักส่วนผสมทางการตลาดเพียง 4 P คือ Product, Price, Place, Promotion แต่ปัจจุบันท่านต้องรู้จักกับอีก 2 P ใหม่คือ Personalization และ Privacy เพื่อให้เกิดแนวคิดประยุกต์ใช้องค์ประกอบการตลาดดั้งเดิม บวกกับความสามารถพิเศษของเทคโนโลยี ทำให้เกิดองค์ประกอบการตลาดแบบใหม่ได้