good resume examples วัตถุประสงค์เพื่อการรับตำแหน่ง

 

มีตัวอย่างเรซูเม่ฟรีมากมาย หรือตัวอย่างเรซูเม่ฟรีบนเว็บลองค้นหา ตัวอย่างเรซูเม่ฟรีที่ Google และดูหน้าเว็บเกือบ 5 ล้านหน้าที่กลับมา ตัวอย่าง ประวัติย่อที่มีข้อ จำกัด น้อยกว่าจะให้คุณได้ 7 ล้าน good resume examples หน้าหากคุณมีเวลาว่างมากขึ้นแต่สิ่งที่ดีคืออะไรมากมายถ้าคุณไม่ทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกับพวกเขาซึ่งก็คือการคัดลอกพวกเขาคุณต้องการให้ประวัติย่อของคุณโดดเด่น good resume examples แน่นอนว่าประวัติย่อที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดมีบางสิ่งที่เหมือนกัน

แต่คุณไม่ต้องการให้เรซูเม่ของคุณฟังดูเหมือนคนอื่น ๆ good resume examples หากคุณดาวน์โหลดตัวอย่างเรซูเม่ฟรีเลือกแบบที่คุณชอบตบชื่อและที่อยู่แล้วปรับแต่งประสบการณ์การทำงานให้ตรงกับของคุณคุณเคยทำอะไรไปบ้างคุณเข้าร่วมฝูงชนแล้วไม่มีอะไรพูดว่า “run-of-the-mill ค่อนข้างดังเท่ากับประวัติย่อที่คัดลอกมา good resume examples การ “ปรับตัว” ตัวอย่างเรซูเม่ฟรีโดยการเปลี่ยนคำและชื่อไม่กี่คำถือเป็นการย้ายที่ไม่ดี มีกลยุทธ์ที่ดีกว่า

การนำเสนอข้อมูลดังกล่าว และสามารถช่วยให้คุณสร้างข้อความ

สิ่งที่ฉลาดกว่าที่ควรทำคือการสร้างเนื้อหาของประวัติย่อของคุณด้วยตัวคุณเอง good resume examples ใช้ตัวอย่างเรซูเม่ที่คุณดาวน์โหลดเป็นอาหารสัตว์สำหรับแนวคิดวิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถยืดอกจินตนาการถึงวิธีใหม่ ๆ good resume examples ในการโฆษณาสิ่งที่คุณเคยทำ สามารถแสดงวิธีใหม่ ๆ ที่ดึงดูดสายตาในการนำเสนอข้อมูลดังกล่าว และสามารถช่วยให้คุณสร้างข้อความทางการตลาดส่วนบุคคลของคุณได้ยากขึ้นสิ่งเหล่านี้ทำให้คุณโดดเด่นทำตัวเป็นที่โปรดปรานและดูตัวอย่างมากมาย อย่ามองเพียงไม่กี่อย่างแล้วเลือกอย่างใด

อย่างหนึ่งทำไมต้องทำงานมากขึ้นเพราะนายหน้าดู good resume examples เป็นร้อยเป็นพัน หากคุณเลือกเทมเพลตเดียวและไม่ทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยคุณจะเพิ่มโอกาสในการดูเหมือนคนอื่น ๆ good resume examples ได้อย่างมาก ประวัติย่อของคุณจะอยู่ในถังขยะภายในหนึ่งนาทีดูตัวอย่างเรซูเม่ฟรีมากมายและเลือกคุณสมบัติที่ดีที่สุดเพื่อรวมเข้าด้วยกันเป็นซูเปอร์เรซูเม่ของคุณ คุณจะหลีกเลี่ยงการมองเหมือนคนอื่น ๆ ในแบบนั้น

การสร้างและนำเสนองานขายอำนวยความสะดวกในงานแสดง

วัตถุประสงค์ของประวัติย่อเพื่อรับตำแหน่งในการขายที่ฉันสามารถใช้ประสบการณ์การทำงานและเติบโตไปพร้อมกับ good resume examples บริษัทสรุปคุณสมบัติมีประสบการณ์ด้านการขายการตลาดและการโฆษณามากกว่า 12 ปี มีฝีมือในการสร้างและนำเสนองานขายอำนวยความสะดวกในงานแสดงสินค้าและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ มีความเชี่ยวชาญในซอฟต์แวร์ MS Office และโปรแกรมฐานข้อมูลนำการดำเนินการไปสู่ของคุณไม่ว่าคุณจะเลือกรูปแบบใด

คุณจะต้องแน่ใจว่าทักษะและประสบการณ์good resume examples 2020ของคุณสร้างความประทับใจว่าคุณเป็นคนลงมือทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้คุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อยประวัติย่อแต่ละจุดที่อธิบายทักษะหรือประสบการณ์ของคุณเริ่มต้นด้วยคำที่ใช้ในการดำเนินการต่อที่เหมาะกับประโยคของคุณ good resume examples ตัวอย่างเช่นคำต่างๆอย่าพลาดโอกาสที่จะทำให้สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อยเหล่านั้นเหมาะกับคุณในประวัติย่อของคุณ

Payroll outsourcing Thailand บริการรับทำค่าแรงงานพร้อมกับทำบัญชี

เงินค่าจ้าง ค่าแรง หรือว่าค่าแรงงานนี้มีความหมายแก่การบริหารมากปีหนึ่ง ๆ หน่วยงานแต่ละแห่งต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างพร้อมด้วยค่าตอบแทนรายเดือนแก่ผู้ปฏิบัติการงานของหน่วยงานเป็นจำนวนมาก รัฐบาลไทยต้องใช้สอยเงินตราโดยประมาณอัตราร้อยละ 30 ของค่าใช้สอยทั้งหมดเป็นเงินค่าจ้าง ค่าจ้างรายเดือน และค่าตอบแทน

ความหมายต่อผู้ปฏิบัติงาน ค่าจ้างและเงินเดือนมีความผูกพันโดยตรงกับการจัดการของคนงาน  เพราะว่าเงินเดือนหรือผลชดใช้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานอาจจะจัดหาเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่พึงประสงค์ดังเช่น ของกิน เครื่องนุ่งห่ม ยาแก้โรคพร้อมทั้งเครื่องนุ่งห่ม ทั้งแก่ตัวเองกับครอบครัว ค่าตัวเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดที่จะช่วยเสริมสร้างขั้นทางสังคมให้แก่แต่ละบุคคล อาทิ ผู้มีเงินได้สูง มีฐานะมั่งคั่ง มักได้รับการยกย่องจากแวดวง  ฯลฯ  นอกจากนี้ค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์ยังเป็นสิ่งช่วยเร่งเร้าให้ผู้ปฏิบัติงานมีแรงใจรักการพร้อมกับปฏิบัติหน้าที่ให้ดี

และยิ่งไปกว่านี้ก็ยังมี Payroll outsourcing Thailand บริษัทที่รับทำเงินเดือนพร้อมกับทำรายการ ทำให้องค์การต่างๆ ที่ใช้บริการง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำค่าแรงพร้อมกับทำบัญชี พร้อมทั้งการให้คำเสนอแนะไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประกันสังคม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือกฏหมายแรงงานทั่วไป

แหวนทอง อัญมณีล้ำคุณค่าที่ใครๆ ก็พึงประสงค์ที่จะเป็นเจ้าของ

สีสันที่ต้องตาต้องใจเจิดจ้าตามธรรมชาติปนกับความมันวาวก่อให้เกิดความสวยงามอันเป็นอมตะ พร้อมทั้งมีค่า ทอง เป็นสิ่งที่ใครๆหลงใหล กับหมายไว้จับจอง มนุษย์รู้จักมักคุ้นทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความสำคัญแห่งความสมบูรณ์เจริญรุ่งเรือง ในอดีตทองคำเป็นสิ่งที่มนุษย์เรารู้จักพร้อมทั้งนำมาใช้อรรถประโยชน์เยอะ อาทิ ในพระพุทธศาสนาก็นำไปเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของพุทธรูป ในครัวเรือนก็นำไปใช้ในการทำจานชามทองคำ และที่เราแลเห็นกระจ่างคือ การที่นำทองทำมาเป็นอัญมณีแต่งเรือนร่าง จนกระทั่งประจุบันแบบอย่างการนำทองคำมาประดับประดาร่างกายก็ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ในประจุบัน

แหวนทองเป็นอัญมณีอีกหนึ่งสิ่งที่ เป็นที่นิยมกัน อาจเกี่ยวกับด้วยการดูแลที่ไม่ซับซ้อน ง่ายในการใส่ พร้อมด้วยปัจจัยสำคัญคือเป็นสิ่งที่ใช้ได้ทั้งผู้ชายพร้อมทั้งผู้หญิง

นอกจากการสวมแหวนที่ส่งเสริมบารมีให้แก่ผู้สวมได้แล้ว การสวมแหวนยังมีความศรัทธาต่างอีก อาทิเช่น เสริมดวงการเงิน เสริมเสน่ห์และเสริมดวงความรัก

แหวนทองในยุคปัจจุบันอาจผิดแผกจากกาลเวลาก่อนๆ คือ การที่มีจิตรงามต่างๆ ให้ผู้ที่หวังเป็นความเป็นเจ้าของได้คัดเลือก กับอาจรวมกันกับอัญมณีอื่น อาทิเช่น เพชร พลอย บุษราคัม ฯลฯ ส่วนการดูแลดูแลแหวนทองก็หามิได้เรื่องยากครับ โดยใช้แปรงถูฟันขนนิ่มขัดเบาๆคลุกกับการใช้น้ำผสมยาล้างจานร่วมด้วย แต่ถ้าหาวิธีการนี้ยังทำให้แหวนทองหรืออัญมณีอื่นของเรายังไม่หายหมอง จะใช้น้ำปนกันเข้ากับแอมโมเนีย โดยให้ใช้แอมโมเนีย 1 ส่วน ผสมกับน้ำ 6 ส่วน หลังจากนั้นให้แช่เครื่องประดับในน้ำที่ผสมไว้สัก 1 นาที แล้วค่อยนำขึ้นมารอเป่าให้แห้ง แต่ยังไงก็ตามไม่ควรใช้แอมโมเนียในการชำระล้างทองทุกเมื่อนะครับ เพราะมันจะทำให้ทองหมองคล้ำได้ครับ

เปรียบเทียบราคาคอนโด และที่พักอาศัยต่างๆ

ที่พักอาศัยถือเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่ใครต่อใครต้องการที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน คอนโด ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์หรือตึกแถว แฟลตหรืออาพาร์ตเม้นต์ เป็นต้น แต่เราจะมีวิธีเลือกซื้ออย่างไรที่จะถูกใจและเพื่อเทียบราคาได้ เรามาดูวิธีกันว่ามีเคล็ดลับอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะนำไปประกอบการตัดสินซื้อทรัพย์สินนั้นๆ

1 ดูราคาตลาด วิธีนี้จะใช้ได้ดีกับ บ้านจัดสรร คอนโด ตึกแถว อาคารพาณิชย์ เนื่องจากมีทรัพย์ที่คล้ายๆกันค่อนข้างเยอะ ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบราคาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากอินเตอร์เน็ต และราคาที่เชื่อถือได้คือ ราคาที่มีการขายเกิดขึ้นเเล้วนั้นเอง

2.คิดจากราคาที่จะเพิ่มขึ้น โดยที่เราสามารถคาดคะเนราคาที่ควรจะเป็นได้ในอนาคต เช่น พื้นที่นี้จะมีถนนตัดผ่าน หรือ จะมีศูนย์การค้ามาเปิด มีรถฟ้าตัดผ่านเเน่นอน พอมีข่าวพวกนี้เข้ามาราคาก็อาจจะเพิ่ม เเต่ถ้าเราคำนวนว่ามันยังไปได้อีก

3.คิดจากต้นทุนก่อสร้าง ในกรณีที่ไม่มีทรัพย์ให้เปรียบเทียบ เราสามารถคิดจากต้นทุนก่อสร้างเป็นตารางเมตรได้ เช่น ต้นทุนก่อสร้างของ อาคารพาณิชย์ 2 ชั้นครึ่ง ประมาณ 1.3 ล้าน และเราก็ไปรวมกับราคาที่ดินที่เราประเมินแล้ว เราก็จะได้ราคาต้นทุนเพื่อเป็นเกณฑ์ในการดูราคาต่อไปนั้นเอง

ลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

12248173_10153211422566200_3920893482939897599_o

การทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีหลายรูปแบบ ลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เราสามารถแยก ออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ ดังนี้

1.การซื้อขายทั่วไป การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นการซื้อขายที่มีลักษณะคล้ายกับการซื้อขายในธุรกิจอื่นๆทั่วไป เช่น การซื้อมาแล้วขายไป ผลตอบแทนหรือส่วนต่างที่ได้คือกำไร ต่างกันที่การซื้อขายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในทางกฎหมายกำหนดให้ต้องทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น โฉนดที่ดินเป็นเอกสารสิทธิที่แสดงตัวผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นๆ ทั้งนี้ ก็เพราะว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินที่มูลค่าสูง จึงต้องมีกฎหมายควบคุมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา

2.การปล่อยเช่า ลักษณะการปล่อยเช่า เช่น การให้เช่าหอพัก อพาร์ตเมนต์ เช่าห้องพัก เช่าบ้าน ให้เช่าโกดังเก็บสินค้า เช่าอาคารพาณิชย์ สำนักงานให้เช่า หรือการเช่าที่ดินว่างเปล่า  เป็นการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เรียกว่า  “เสือนอนกิน” เพราะเมื่อลงทุนสร้างหรือซื้ออาคารซื้อที่ดินว่างเปล่าแล้วนำออกให้เช่า ก็จะทำให้เกิดรายได้อย่างสม่ำเสมอ และเป็นรายได้ที่ตายตัว ทำให้มีเงินใช้สอยไม่ขาดมือ

3.การเป็นนายหน้าซื้อขายหรือเช่า เป็นอาชีพที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย เช่น เป็นนายหน้าซื้อขายที่ดิน ซื้อขายรถยนต์ ส่วนใหญ่ทำเป็นอาชีพเสริมหรือทำเป็นงานเสริม แต่การซื้อขายแต่ละครั้งอาจทำให้นายหน้ามีรายได้สูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถและองค์ประกอบด้านอื่นๆด้วย

9 ขั้นตอน เริ่มต้นทำ การตลาดออนไลน์

เจ้าของธุรกิจหลายคนจะรู้สึกเหมือนกันว่า การตลาดออนไลน์ เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน และเข้าใจยาก หลายต่อหลายครั้งที่เขาจ่ายเงินทำโฆษณาออนไลน์ไป แต่กลับไม่ได้ลูกค้ามากขึ้นดังที่ใจคิด

อีกทางหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจจะทำ คือ การจ้างนักการตลาดออนไลน์เป็นที่ปรึกษา ดูแลการตลาดออนไลน์ให้แทน แต่ถ้าหากยังไม่ได้ผล ทำไมเจ้าของธุรกิจถึงไม่ลองทดสอบและเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้างล่ะ ? ซึ่งอาจจะพบวิธีทำการตลาดออนไลน์และได้ลูกค้าใหม่ๆมาก็เป็นได้

social-media-sharing

บทความนี้ ” 9 ขั้นตอน เริ่มต้นทำ การตลาดออนไลน์ ” จะเป็นการแนะนำ วิธีการทำการตลาดออนไลน์ด้วยตัวเอง ซึ่งนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่จะลองลงทุนเรียนรู้ และหาหนทางในการทำการตลาดออนไลน์ด้วยมือของคุณเองครับ

  1. เริ่มต้นที่ Social Media

Social Media คือ เครือข่ายผู้บริโภคขนาดใหญ่ สถานที่ที่สามารถสร้างการรับรู้ (Awareness) และการ PR เป็นอย่างดี เพราะด้วยความสามารถในการกดชอบ (like), แสดงความคิดเห็น (Comment) และการแชร์ (Share) ล้วนส่งผลดีแทบทั้งสิ้น

สามารถสร้าง Facebook Fanpage ได้ที่ คลิ๊กสร้าง Fanpage

  1. เริ่มต้นเขียนบล็อก (Blog)

อย่าเพิ่งปฏิเสธการเขียน Blog เพราะ การเขียนบทความ (Articles) ใน Blog นั้นมีคุณค่ากับธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง เช่น การสร้างการรับรู้ (Awareness), ความน่าเชื่อถือ (Credibility) และ ความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจ (Authority)

Tip : การเขียน Blog จะไม่เหมือนการเขียนงานเรียงความในมหาลัย (ซึ่งนั้นอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านเขียน) โปรดใช้เทคนิคการเขียนที่ง่ายต่อการอ่านแบบสแกน และย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่าย โดยเนื้อหาใจความโดยรวมไม่หลุดประเด็นไปจากหัวข้อหลัก

  1. สร้างความสำพันธ์ ผ่านช่องทางสื่อ

สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มจำนวนการเข้าถึงของคนเข้าชมใหม่ๆ ถ้าที่ปรึกษาหรือทีมงาน ไม่ได้สร้างสายสำพันธ์กับนักเขียน หรือ Bloggers ไว้เลย มันคงน่าเสียดายมาก เพราะผู้เข้าชมส่วนใหญ่จะอยากติดต่อและพูดคุย สอบถามกับธุรกิจนั้นๆที่เขาสนใจ

 

Tip : ติดตามนักเขียน ในช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Twitter ในกลุ่มธุรกิจของท่าน เพื่อที่จะแบ่งปันเนื้อหา แสดงความคิดเห็น เพื่อทราบทิศทางร่วมกันในอนาคต เวลาที่จะต้องนำเสนอข่าวสารร่วมกัน

  1. นำเสนอเนื้อหาที่คนเข้าชมต้องการ

เชื่อมกับลูกค้าคนสำคัญได้ง่ายดายผ่านเนื้อหาที่ปรับแต่งเพื่อให้ใช้งานง่าย ในทางข้อมูล 61% ของลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าจาก Brand ที่นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน

Tip : ใส่ใจปัญหาผู้ฟังเป็นหัวข้อสำคัญในการทำเนื้อหาที่จะนำเสนอ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเนื้อหา และพัฒนารายงาน, eBooks, คู่มือ และ โพสบล็อก ที่ให้คุณค่ากับลูกค้าของท่าน

  1. ใส่ใจการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ (Analytics)

มันง่ายดายที่จะรู้ว่าช่องทางสื่อออนไลน์ไหน ที่สร้างจำนวนคนเข้าชมได้มากมายผ่านเครื่องมือสถิติ เช่น Google Analytics เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ท่านไม่ควรทิ้งมัน หากแต่จะช่วยทำให้โฟกัสการทำงานได้มากยิ่งขึ้นในสื่อนั้นๆ

Tip : ติดตั้ง Google Analytics ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อที่จะเช็คว่า กลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ ผ่านช่องทางไหนที่ได้ผลที่สุด

  1. เช็คให้แน่ใจว่า eMail Marketing ยังสื่อสารถึงคนอ่านอยู่เสมอ

หากพูดถึงทุกวิธีทำการตลาด eMail Marketing ยังคงใช้ได้ผลอยู่เสมอ เป็นหนทางที่จะส่งเนื้อหาไปถึงผู้อ่านได้โดยตรง เพื่อเปลี่ยนให้เป็นลูกค้าที่จะซื้อของจากท่าน และยิ่งท่านมีฐานสมาชิก eMail List มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งประสบความสำเร็จในการเข้าถึงมากขึ้นเท่านั้น

Tip : โปรดใช้เวลาและใส่ใจกับหัวข้อใน eMail ให้มากหน่อย เพราะ 64% ของผู้รับจะเปิด eMail หลังจากที่เขาอ่านหัวข้อแล้วสนใจ เวลาที่ท่านใช้ไปกับการสร้างสรรค์หัวข้อ eMail จะช่วยการันตีถึงจำนวนการเปิดอ่านได้มากยิ่งขึ้น

  1. ปรับแต่งเว็บไซต์ (SEO) ให้ดีเยี่ยม

เช็คให้แน่ใจว่า Keywords บทเว็บไซต์ของท่าน เป็นสิ่งที่คนอ่านกำลังค้นหาอยู่จริงๆ ด้วยเครื่องมือวางแผนคำหลัก (Keyword Planner Tools) ของ Google ใน Adwords

หากในเว็บไซต์ของท่านไม่มีเนื้อหา หรือ Keywords ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นไปได้สูงที่คนจะออกจากเว็บไซต์ของท่านทันที ส่งผลให้อัตราการออก (Bounce rate) ใน Google Analytics สูงขึ้น และ การตอบสนองจากผู้อ่านจะลดน้อยลงไป

 

Tip : หากธุรกิจของท่านมีคำค้นหา (keywords) ที่หลากหลาย โปรดอย่ามองข้ามคำค้นหาที่เป็นภาษาพูด เพราะคำเหล่านี้ผู้อ่านมักจะใช้พิมพ์คําค้นหาใน Google ท่านสามารถใส่คำภาษาพูดที่เข้าใจง่ายในหน้า Blog ของท่านได้ครับ

  1. จัดเวลาเป็น นักเขียน Blog รับเชิญบ้าง (Guest Blogging)

ท่านสามารถเข้าถึงคนอ่านได้มากมายผ่าน Blog ของท่าน แต่ท่านก็สามารถเพิ่มจำนวนคนอ่านใน Blog อื่นๆที่มีชื่อเสียงได้ผ่านการเป็นนักเขียน Blog รับเชิญ ซึ่งมีหลายๆ Blog ก็ยินดีต้อนรับ Guest Blogging

Tip: การเขียน Guest Blogging ควรเขียนในเนื้อหาที่มีเป็นประโยชน์กับคนอ่านของเจ้าของ Blog เป็นสำคัญ เพื่อที่เนื้อหาที่เขียนนั้น สอดคล้องกับเนื้อหาเดิมใน Blog ก่อนหน้านี้

  1. เช็คให้แน่ใจว่า ขั้นตอนการทำงานทั้งหมด รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และสอดคล้องกันเป็นอย่างดี

ทุกขั้นตอนสามารถทำได้สำเร็จได้ แต่ควรเช็คให้แน่ใจว่าทุกขั้นตอนนั้นทำงานสอดคล้องกันเพื่อให้ถึงเป้าหมายหลัก (Goal) ที่วางไว้ของธุรกิจของท่าน

Tip : ก่อนที่จะทำการตลาดออนไลน์ ควรกำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้วว่าคืออะไร ? เช่น ต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Website Traffic), เพิ่มยอดขาย 200% หรือต้องการจะโปรโมทสินค้าตัวใหม่ โดยทุกๆขั้นตอนควรพุ่งประเด็นไปที่เป้าหมายของท่าน

กลยุทธ์การทำตลาดออนไลน์ที่ไม่ควรพลาดเพื่อให้ธุรกิจเติบโต

วันและเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วการตลาดออนไลน์ ต่างๆ ที่คาดกันไว้ก็ได้เห็นกันบ้างแล้ว บางคนอาจจะเริ่มปรับกลยุทธ์เข้าสู่เทรนด์ใหม่ไปบ้างแล้ว แต่สำหรับบางคนที่ยังตั้งหลักไม่ถูกว่าจะเริ่มต้นอย่างไร คงจะต้องรีบหน่อย วันและเวลาไม่รอใคร โดยเฉพาะการแข่งขันทางธุรกิจ กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญ จริงแล้วอาจจะมีอีกหลายกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ แต่เชื่อว่าเพียง 5 กลยุทธ์นี้น่าจะทำให้ประสบความสำเร็จทางการตลาดออนไลน์ในปีนี้
1.ผู้ชื่นชอบต้องทันสมัย
ผู้ชื่นชอบในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ชื่นชอบหรือ Like ในเฟซบุ๊คเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้ติดตามในทวิตเตอร์ อีเมล์สมาชิกหรือลูกค้า หรือแม้กระทั้งหมายเลขโทรศัพท์ก็ตาม โดยจะต้องปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย เช่น ต้องไม่มีการส่งข้อความแล้วตีกลับ หรือติดต่อไม่ได้ จะต้องกระตุ้นให้ผู้ชื่นชอบที่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับแบรนด์ให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่นการสร้างกิจกรรม เกมร่วมรับรางวัล เป็นต้น ยิ่งกระตุ้นให้ผู้ชื่นชอบมีส่วนร่วมมากเท่าไร จะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้น เช่น การเรียนรู้พฤติกรรมจากการคลิกอ่านบทความผ่านอีเมล์ หรือการตอบกลับด้วยข้อความสั้น SMS เป็นต้น

2.เน้นที่ลูกค้าปัจจุบันมากกว่า
การได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ก็มีความสำคัญ แต่ต้นทุนหรือความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาลูกค้าปัจจุบันให้คงความเป็นลูกค้าต่อไปแล้ว “การรักษาลูกค้าปัจจุบันย่อมดีกว่า” จะต้องเน้นกลยุทธ์ในการดึงลูกค้าปัจจุบันให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ การตลาดออนไลน์ถือว่าเป็นการตลาดที่ต้นทุนไม่สูงและสามารถเข้าถึงลูกค้าปัจจุบันของคุณได้เป็นอย่างดี อาจจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อสนทนากับลูกค้าเหล่านี้ เพื่อจะได้ใจลูกค้าและสร้างความประทับใจได้ในที่สุด สุดท้ายก็อาจจะได้ลูกค้าเป็นตัวแทนหรือ แบรนด์แอมบาสเตอร์ของก็ได้

3.นำเสนอให้แตกต่างกับลูกค้าที่ต่างกัน
ผู้บริโภคทุกคนต้องการการนำเสนอที่เป็นตรงใจและเป็นตัวของเขาเองมากกว่า การสร้างกลุ่มเป้าหมายย่อยด้วยการสื่อสารแบบส่วนบุคคล (Personalization) จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภค การสนทนาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยแอพพลิเคชั่น Social CRM จะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะเข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น หรือการสื่อสารกับผู้บริโภคด้วยแอพพลิเคชั่นการตลาดอีเมล์ที่สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้บริโภคได้และส่งแคมเปญอีเมล์ใหม่จากพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นต้น

4.สร้างโปรไฟล์ของผู้ชื่นชอบ
ต้องให้ความสำคัญกับโปรไฟล์หรือข้อมูลเชิงลึกของผู้ชื่นชอบของคุณมากขึ้น ข้อมูลโปรไฟล์เหล่านี้จะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยอาจเพิ่มคำถามเชิงลึกหลังจากที่ผู้ชื่นชอบหรือสมาชิกลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ อีกกลยุทธ์ที่ได้รับนิยมมากขึ้นคือการดึงโปรไฟล์จากเว็บไซต์สังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Twitter หรือ G+ ในการลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบในเว็บไซต์ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกของสมาชิก โดยที่ไม่ต้องถาม เพราะสามารถได้ข้อมูลของผู้ชื่นชอบทันทีจากเว็บไซต์สังคมออนไลน์เหล่านั้น ผู้บริโภคยินดีที่จะให้ข้อมูลเชิงลึก หากเขาได้รับประโยชน์หรือบริการที่ดีมากยิ่งขึ้น

5.โมบายโมบายและโมบาย
โมบาย ทั้งสมาร์ทโฟนและแทบเล็ต จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการตลาดออนไลน์ และอนาคต ดังนั้นจะต้องเตรียมกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ผ่านโมบายไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่เป็นโมบายไซต์ หรือโมบายแอพพลิเคชั่นรวมไปถึงกิจกรรมออนไลน์ที่เคยผ่านคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปมาสู่โมบาย อาทิการสั่งซื้อออนไลน์การชำระเงินออนไลน์หรือธุรกรรมต่างๆ

ต้องยอมรับว่าการทำการในปัจจุบันมีรูปแบบและวิธีคิด วิธีการสื่อสารแตกต่างจากสมัยก่อนเป็นอย่างมาก (อาจจะนับย้อนกลับไป 10 ปี) ดังนั้นหากเปรียบเทียบนักการตลาดยุคเก่ากับนักการตลาดยุคใหม่ นั้นมีวิธีคิด รูปแบบ ช่องทางการสื่อสารถึงผู้บริโภคแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และเช่นเดียวกันผลลัพย์ หรือวิธีการวัดผลก็แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน

ร้านค้าออนไลน์มีข้อดีและข้อเสียต่อธุรกิจอย่างไร

ปัจจุบันมีร้านค้าหลายร้านที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดร้านค้าออนไลน์ ในขณะที่บางร้านกลับไม่ประสบความสำเร็จทางด้านี้เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเปิดร้านค้าออนไลน์นั้นมีทั้งข้อดีที่เป็นข้อได้ เปรียบในเชิงธุรกิจและข้อเสียที่เป็นข้อควรระวัง ดังจะกล่าวถึงเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
ข้อดีของร้านค้าออนไลน์ คือ
1.ต้นทุนต่ำ เนื่องจากค่าเช่าพื้นที่จากเว็บโฮสติ้งบนอินเทอร์เน็ต ถูกกว่าการเช่าพื้นที่เพื่อเปิดเป็นร้านค้า และ ร้านค้าออนไลน์ไม่ต้องมีคนเฝ้าหน้าร้าน สามารถนำเวลาไปทำอย่างอื่น และไม่ต้องเสียเงินจ้างคนเฝ้าร้าน
2.เพิ่มประสิทธิภาพ เพราะร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าไว้เพื่อที่จะขาย ทำให้เงินลุงทุนไม่มาจมอยู่กับสินค้า สามารถทำงาน ดูแลร้านได้จากทุกที่ ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อีกทั้งสามารถเก็บข้อมูลทางสถิติการเข้าเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ ได้ เช่น จำนวนคน หน้าที่เข้าชมบ่อย สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาแผนการตลาดในอนาคตได้
3.สร้างภาพลักษณ์ให้แบรนและองค์กร เพราะการเปิดร้านค้าออนไลน์ช่วยสร้างภาพลักษณ์ในเชิงธุรกิจ ว่าเป็นองค์กรที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีสารเทศ อีกทั้งการตั้งชื่อโดเมน ที่ดีจะช่วยให้ลูกค้าจดจำได้ง่ายกว่าเบอร์โทรศัพท์
4.มีโอกาสได้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และสามารถให้บริการลูกค้าได้ในปริมาณมากขึ้น โดยร้านค้าออนไลน์สามารถเปิดให้บริการได้ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถรองรับลูกค้าได้จากทั่วโลก
5.อำนวยความสะดวกให้ลูกค้า โดยเพิ่มช่องทางในการสั่งซื้อสินค้า และการชำระเงิน อีกทั้งยังสามารถส่งสินค้าถึงหน้าบ้าน ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมารับสินค้าด้วยเองอีกด้วย
6.เพิ่มช่องทางการทำการตลาด ซึ่งสามารถทำการตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
7.ลดความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการถูกปล้น ถูกโจรกรรมและยังลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และอุบัติเหตุด้วย
ข้อเสียของร้านค้าออนไลน์ คือ
1.มีการแข่นขันสูง เนื่องจากต้นทุนต่ำ ทำให้ใครๆ ก็สามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ และหากต้องการให้ร้านเป็นที่รู้จัก อาจต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์มาก
2.การเปิดร้านค้าออนไลน์นั้นง่าย แต่ทำให้ออกมาดีนั้นยาก เพราะการทำให้เว็บไซต์น่าสนใจต้องใช้ ทักษะ ความรู้ ความสามารถมากอาจมีค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้เชียวชาญพัฒนา และออกแบบระบบ
3.ลูกค้าบางคนไม่ซื้อ เพราะบางคนไม่เชื่อใจร้านค้าออนไลน์ กลัวว่าจะถูกโกง จ่ายเงินซื้อสินค้าแล้วไม่ได้ของที่ตัวเองซื้อ
4.มีข้อจำกัด โดยลูกค้าจำเป็นต้องรอ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจัดส่ง หรือสินค้าบางอย่างขายบนร้านค้าออนไลน์ไม่ได้
5.มีความเสียงทางด้านเทคโนโลยี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานร้านค้าออนไลน์ เช่นเว็บไซต์ล่ม หรือโหลดข้อมูลช้าและมีความเสี่ยงจากภัยคุกคามในรูปแบบอื่นๆ เช่นการติดไวรัสคอมพิวเตอร์ หรือการแฮกเกอร์เจาะระบบ
6. มีความไม่ชัดเจนของมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากกฎหมายการค้าออนไลน์ยังไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐฯ อย่างแท้จริง
จะเห็นได้ว่า ธุรกิจร้านค้าออนไลน์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นหากผู้ที่ดำเนินธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากข้อดีให้เป็นข้อได้เปรียบในเชิงธุรกิจและรับรู้ถึงข้อเสียโดยการระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้น ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจร้านค้าออนไลน์นี้มากขึ้น

วิธีขายของออนไลน์ให้ดึงดูดใจลูกค้า

ยุคของโลกออนไลน์อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญของชีวิตมากขึ้นทุกวัน ทำให้เกิดธุรกิจการขายของออนไลน์ขึ้น และกลายเป็นเรื่องปกติของคนในยุคนี้ จึงทำให้ร้านค้าออนไลน์มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นทาง facebook เว็บบอร์ด หรือเว็บไซต์ร้านค้าต่างๆ เมื่อมีร้านเพิ่มมากขึ้น จำนวนคู่แข่งก็เพิ่มตามไปด้วย ดังนั้นในบทความนี้เราจะขอเสนอวิธีขายของออนไลน์ให้ดึงดูดใจลูกค้า

1.เปิดช่องทางไว้ให้ลูกค้าติดต่อได้สะดวกรวดเร็วเสมอ การทำตัวให้ติดต่อได้ง่ายยังช่วยในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพ่อค้าแม่ค้าร้านนี้มีตัวตนจริงๆ และด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ทั้งเครื่องมือ เช่น โทรศัพท์มือถือหรือไอแพด ทั้ง Social Media ทั้งแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น facebook หรือ LINE ก็ช่วยให้การติดต่อทำได้เร็วกว่าเดิม ร้านค้าที่มีช่องทางเหล่านี้ย่อมได้เปรียบรายอื่นๆ

2.มีบัญชีธนาคารไว้หลายๆ แห่งเพื่อรองรับการชำระเงิน บางครั้งธนาคารที่ลูกค้าใช้เป็นประจำอาจไม่ใช่ธนาคารที่ผู้ประกอบการเปิดบัญชีไว้เพื่อรับเงินก็ได้ ทำให้ลูกค้าอาจต้องเดินทางเพิ่มมากขึ้นเพื่อไปธนาคาร อาจต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามธนาคารหากลูกค้าโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มหรือธนาคารออนไลน์ ซึ่งนั่นเเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกด้วย

3.ควรรีบส่งสินค้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ หากผู้ประกอบการส่งสินค้าให้ลูกค้าได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้มากเท่านั้น ส่วนร้านค้าใดมีกำหนดการส่งของที่แน่นอน ควรจะแจ้งลูกค้าก่อนทำการตกลงซื้อขายและชำระเงิน เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสตัดสินใจ

4.หีบห่อที่แข็งแรงคงทนและดูดี ช่วยสร้างความประทับใจได้มาก พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จึงควรบรรจุสินค้าลงหีบห่ออย่างระมัดระวัง มีการห่อพลาสติกกันกระแทกสำหรับสินค้าที่อาจแตกได้ และที่สำคัญที่สุดคือพ่อค้าแม่ค้าต้องปิดผนึกกล่องพัสดุให้แน่นหนาที่สุด ไม่ให้เกิดการฉีกขาดระหว่างทาง หรือหากเป็นสินค้ากระจุกกระจิกน่ารักๆ ที่กลุ่มลูกค้าเป็นหญิงสาวแล้วละก็ การตกแต่งหีบห่อให้สวยงาม

แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการค้าขายนั่นก็คือความซื่อสัตย์ เพราะหากขาดสิ่งนี้ไปร้านค้าอาจถูกมองในแง่ลบได้ และทำให้ลูกค้าตัดสินใจไปซื้อร้านอื่น ดังนั้นการบริการที่ดีเป็นสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าได้มากที่สุด

Content ที่น่าสนใจสำหรับการตลาดออนไลน์

การตลาดออนไลน์มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้วงการธุรกิจมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และเกิดเทคนิคใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายจนบางครั้งก็ตามไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ทำให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำการตลาดในองค์กรที่จะต้องหมั่นคอยตามเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อนำมาปรับใช้กับองค์กรให้เกิดประโยชน์อยู่เสมอ สำหรับแนวโน้มการตลาดออนไลน์ที่เกิดขึ้น มีดังนี้

1.มี Content Marketing ใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ผ่านทางรูปแบบของสื่ออย่าง รูปภาพ, วีดีโอ, Infographic หรือรูปแบบอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่ง Content Marketing นี้ถือเป็นหนทางหลักๆ ที่หลายองค์กรต่างเลือกใช้เพื่อทำให้ผู้คนรู้จักและจดจำแบรนด์ของเราไปในทางที่เราต้องการ เราก็จะเริ่มเห็นได้ว่าสินค้าและบริการที่เรารู้จักอยู่เกือบทุกแบรนด์นั้นก็เริ่มมีช่องทางในการเผยแพร่แบรนด์ของตัวเองกันแทบทุกทางแล้ว

2.สร้าง Content ไว้รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่มีเพิ่มขึ้นทุกปี จึงจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสม  เนื่องจากโดยปกติแล้วเว็บไซต์ต่างๆ ที่เคยสวยงามบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ก็อาจไม่ลงตัวสำหรับอุปกรณ์ของเล็กอย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต

3.มีการพัฒนาอยู่ตลอดจนเห็นแอพลิเคชั่นใหม่ๆ อยู่ตลอด ธุรกิจจะมีช่องทางที่จะส่ง Content ไปถึงลูกค้าได้ง่ายและแพร่หลายขึ้นโดยเริ่มวิเคราะห์จากแบรนด์ตัวเองก่อนเลยว่าแบรนด์เราเหมาะสมกับเครื่องมือชิ้นไหนบ้าง หมั่นคอยตามเทคโนโลยี และแอพลิเคชั่นใหม่ๆ อยู่เสมอ

4.เน้นความเรียบง่ายๆ ใช้เนื้อหาน้อย แต่คุณภาพเพียงพอที่จะดึงความสนใจของคนได้ เพราะแบรนด์เหล่านี้เห็นว่าความพยายามที่จะส่งข้อมูลข่าวสารไปให้ผู้คนมากเกินไปนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกรำคาญและเลือกที่จะบล็อคข้อมูลเหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ

5.ใช้ตัวอักษร ควรที่จะแทรกรูปภาพขั้นระหว่าง Content เพื่อให้เป็นจุดพักสายตาอยู่ตลอด ความเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา ข่าวสารและข้อมูลที่ย่อยง่ายย่อมเกิดความได้เปรียบ และทำให้ผู้คนสนใจได้มากกว่า เพราะคนเหล่านี้รู้สึกว่าใช้เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจ

6.แบรนด์โฆษณา Ad Retargeting โดยเครื่องมือการตลาดชิ้นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อติดตามการเข้าเว็บไซต์ของเรา เพื่อดูรูปแบบของสินค้า และการบริการที่เราสนใจ ก่อนที่จะเก็บข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ เพื่อนำไปประมวลผลในการเลือกโชว์โฆษณาต่างๆ ตามเว็บให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้

ลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อนองค์กรที่ทำให้สามารถสร้างเงินได้มากขึ้น

ลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้า ถ้าหากเรามองลูกค้าเป็นเพียงแค่ผู้เสียเงินซื้อสินค้า และบริการจากเราเพียงอย่างเดียว นั่นถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะในหลายๆบริษัทที่ประสบความสำเร็จมองลูกค้ามากกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Facebook มีลูกค้าถึงพันล้านคนโดยประมาณ แต่ลูกค้าเหล่านี้ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าเลย แต่บริษัท Facebook กลับมีรายได้มากมายมหาศาล นั่นก็เพราะลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อนให้สามารถสร้างเงินได้มาก

เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะใช้ข้อมูลในการดึงดูดความสนใจของลูกค้า ต่างกับ Facebook ที่มีเนื้อหาแบบเรียลไทม์อัพเดตชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องสร้างเนื้อหาเองดังเช่นเว็บไซต์ขายสินค้าทั่วไป แต่กลับได้รับความนิยม ดังนั้นหากเราใช้แนวคิดนี้ในการให้ลูกค้าเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายในเว็บไซต์ เว็บไซต์ของเราอาจได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน

การทำธุรกิจผ่านเว็บไซต์ไม่อาจสู้กับธุรกิจรายใหญ่ๆได้ จึงควรหาโอกาสที่จะไปงานอีเวนท์เล็กๆ ต่างๆ เพื่อพบปะพูดคุยและให้ความสำคัญกับลูกค้าที่สนใจแทน เพราะลูกค้าที่สนใจมีความสามารถในการชักชวนมากกว่าเรา ในการชักชวนแบบปากต่อปาก โดยไม่ต้องใช้เงินในการลงทุนเลย

จากผลสำรวจพบว่าสินค้าที่ประสบความสำเร็จส่วนมากมาจากไอเดียของลูกค้าทั้งสิ้น ซึ่งถ้าหากบริษัทที่กำลังประสบปัญหากับแนวทางการพัฒนาสินค้าและบริการ อาจจะลองพยายามมองหาความช่วยเหลือจากลูกค้าแทนที่จะคิดเองดูบ้าง บางทีอาจจะได้มุมมองไอเดียใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมที่น่าสนใจ

การทำธุรกิจนั้นแต่ละองค์กรย่อมหวังที่สร้างโอกาสให้ตัวเองเพื่อที่จะเข้าถึงลูกค้าทั้งหลาย แต่ความเป็นจริงแล้ว ลูกค้านั้นพร้อมที่จะสร้างเครือข่ายขึ้นมาแต่เป็นเครือข่ายของลูกค้าด้วยกันเองมากกว่า เราทำได้คือการเป็นตัวกลางของเครือข่ายที่จะช่วยเชื่อมให้ชุมชนของลูกค้าเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมาต่างหาก เมื่อมีลูกค้าคนใดคนหนึ่งเกิดรู้สึกประทับใจกับสินค้าหรือบริการของเราขึ้นมา เขาก็จะพร้อมที่จะบอกต่อความประทับใจต่อไปยังเพื่อนๆ ในเครือข่ายลูกค้า

จากที่กล่าวมาพิสูจน์ได้ว่าเงินที่ได้จากลูกค้าไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป แต่เป็นการที่ลูกค้าช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร ซึ่งสิ่งนี้ช่วยทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่านำเงินไปลงทุนทำแผนการตลาดอื่นๆแน่นอน

ธุรกิจการตลาดแบบขายตรงที่ผู้บริโภคคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน

ขายตรง
ปัจจุบันธุรกิจขายตรงในประเทศไทยมีส่วนสร้างความเจริญรุ่งเรือง และความมั่นคงทางเศรษฐกิจต่อบุคคล สังคมและประเทศชาติโดยเฉพาะในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายจำนวนมาก ธุรกิจขายตรงจึงเป็นช่องทางการขายปลีกรูปแบบหนึ่งซึ่งผู้บริโภคคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เนื่องจากการตลาดในปัจจุบันเมื่อผู้ผลิตได้ดำเนินการผลิตสินค้าเรียบร้อยแล้วจะนำสินค้าออกสู่ตลาดการขายตรงเป็นวิธีการกระจายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สินค้าในระบบการขายตรงมีหลายชนิดเป็นที่รู้จักของตลาด มีจำนวนสมาชิกหรือลูกค้าจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีตัวแทนจำหน่ายหรือตัวแทนขายจำนวนมากเช่นกัน การขายตรงจึงเป็นอาชีพอิสระที่ผู้คนให้ความสนใจเลือกประกอบอาชีพที่ดีที่สุดอาชีพหนึ่ง

รูปแบบของงานขายมีลักษณะเกี่ยวกับความสามารถในการชักจูงใจและโน้มน้าว หรือใช้ศิลปะการขายเป็นสำคัญ การขายเกิดจากพฤติกรรมภายใน ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ความนิยมชมชอบ ความพึงพอใจ ความเต็มใจของผู้ซื้อ ฯลฯ ดังนั้นนักขายจะต้องมีคุณสมบัติและความรอบรู้หลายประการ เช่น ด้านพื้นฐานการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการขายโดยตรง ด้านจิตวิทยาในการปรับตัวเข้าหาลูกค้า การเตรียมตัวก่อนปฏิบัติงานขาย และการปฏิบัติภายหลังสิ้นสุดการขาย ดังนั้นผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญของการขายเป็นหลัก นอกจากกิจการจะมีสินค้าพร้อมเพื่อขาย มีลูกค้ามุ่งหวังเป็นเป้าหมายสำคัญในการขาย มีบุคลากรปฏิบัติงานขายยังไม่เพียงพอสำหรับการสร้างเสริมการขายให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยศิลปะการขายที่นักขายเหล่านั้นนำมาใช้ในระหว่างการปฏิบัติงานขายด้วย จึงจะบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้

ธุรกิจตลาดแบบตรง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ไม่ใช่แค่การมุ่งเน้นเรื่องการขายผลิตภัณฑ์อย่างเดียว แต่ลูกค้าต้องการสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น เมื่อเสียเงินซื้อสินค้าไปบริโภคแล้วคุ้มกับเงินที่จ่ายออกจากกระเป๋าหรือเปล่า , พนักงานขาย หรือ Call Centre สามารถตอบโจทย์หรือคำถามที่ลูกค้าโทรเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ได้หรือเปล่า เพราะลูกค้ายุคนี้ต้องการความเติมเต็มเกี่ยวกับข้อมูลที่ต้องการจะซื้อเกี่ยวกับตัวสินค้านั้นๆ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องกลับไปนั่งคิดโดยเฉพาะเรื่องของการทำข้อมูล Data Base ของลูกค้าแต่ละคนว่าชอบ-ไม่ชอบอะไร อุปนิสัยในการบริโภคสินค้าเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ตัวแทนจำหน่ายในธุรกิจขายตรงสามารถปรับแนวคิดดังกล่าวไปใช้เพื่อต่อยอดองค์กรให้กับตนเอง รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกใหม่และ เก่าที่อยู่ภายใต้เครือข่ายได้

อินเตอร์เน็ตหรือโลกออนไลน์ นับวันยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องออนไลน์

21

เราจะเห็นได้ว่าออนไลน์กำลังครอบคลุมออฟไลน์อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ของให้อีเล็คโทนิค และชีวิตประจำวัน เพราะฉนั้นแล้ว พฤติกรรมของมนุษย์กำลังเปลี่ยนไป และทำให้การตลาดบนโลกนี้กำลังเปลี่ยนไปด้วยนี่คือยุคการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันต่อโลกออนไลน์ที่รวดเร็วเป็นอย่างมากอินเตอร์เน็ตหรือโลกออนไลน์ นับวันยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องออนไลน์คือช่องทางติดต่อสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงหลายองค์กรหรือหลายบริษัทจึงต่อยอดหรือแตกแขนงธุรกิจของตนเข้าสู่โลกออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุคทวิตเตอร์การตลาดในยุคปัจจุบันหันมาใช้ด้าน Online Marketing มากขึ้น ด้วยเหตุที่ว่าอินเตอร์เน็ตนับมีส่วนสำคัญในการขยายฐานลูกค้าให้แก่ผู้ประกอบการเนื่องจากกลุ่มลูกค้าจำนวนมากหันมาค้นหาข้อมูลในโลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกๆวันตลอดจนทั้งการแข่งขันในการเรื่องขอการนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายมีการแข่งขันการอย่างมาก

โดยเฉพาะการทำการตลาดผ่าน Social Media ช่วยให้คุณทำการตลาดได้ง่ายขึ้นและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการทำการตลาดแบบออฟไลน์เป็นอย่างมากประกอบกับการทำการตลาดผ่าน Social Media โดยเฉพาะ Facebook นั้นมีขั้นตอนที่ง่ายๆไม่ยุ่งยากเหมือนเว็บไซต์และลูกค้าที่กดไลท์ชอบสินค้าหรือบริการของเรายังสามารถแชร์ให้เพื่อนเห็นเกิดเป็น Network มีผลให้สินค้าและบริการของเรามีการแพร่กระจายต่อไปยังผู้บริโภคคนอื่นๆอีกด้วย  ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ประกอบการหลายๆท่านต้องหันมาปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันออฟไลน์ รูปแบบการทำงานในสมัยเก่าเป็นธุรกิจเครือข่ายในลักษณะที่ไม่มีการใช้เทคโนโลยีทาง internet ใช้วิธีการติดต่อธุรกิจแบบปากต่อปากหรือที่เรียกว่า Viral Marketing เพื่อทำการขายสินค้ารวมไปถึงชวนคนเข้าร่วมธุรกิจออนไลน์ รูปแบบการทำการตลาดบน Internet แบบออนไลน์เป็นการทำการตลาดกับผู้ที่ใช้ Search engine หรือ Social Media ซึ่งเทคโนโลยีทางด้าน IT นั้นได้เข้ามาช่วยเหลือทำให้ผู้คนสะดวกสบายมากขึ้นธุรกรรมต่างๆก็ใช้ website เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อกับผู้คนทั่วโลกที่กำลังออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Email , VDO และสื่อดิจิตอลอื่นๆ

ทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดในยุคออนไลน์

ในการดำเนินธุรกิจต้องอาศัยช่องทางออนไลน์ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง การซื้อขายสินค้า การมีช่องทางติดต่อสื่อสาร และช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การทำธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นที่ประชุมและส่งงานของพนักงานภายในบริษัท ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมาต่างเกิดขึ้นบนโลก Online แทบทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีธุรกิจอยู่อีกบางส่วนที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบออนไลน์ สาเหตุหลักข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือผู้ประกอบการยังไม่รู้แนวทางว่าจะ พัฒนาธุรกิจของตนเองในโลกออนไลน์อย่างไร สำหรับการพัฒนาธุรกิจในโลกออนไลน์ต้องทำอย่างไรนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
1.พิจารณาธุรกิจแล้วค้นหาจุดต่อยอด โดยพิจารณาดูที่ตัวธุรกิจเดิมของผู้ประกอบการก่อนเป็นอันดับแรกว่ามีส่วนไหนที่จะสามารถนำมาต่อยอดได้ เช่น การเพิ่มยอดขายหรือการลดจุดอ่อน
2.ค้นหาไอเดียความเป็นไปได้ในทางออนไลน์เพื่อช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจ หลังจากที่ได้ต่อยอดจากขั้นตอนแรกแล้ว เช่น ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์แต่ประสบปัญหายอดผู้ อ่านลดลงในแต่ละเดือนจึงเพิ่มวิธีการสร้างเว็บไซต์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถ เข้ามาดาวน์โหลดเพื่ออ่านแบบออนไลน์ และชำระเงินเป็นรายเดือนได้
3.ต้องหาคนจัดทำเว็บไซต์และวางระบบมาดำเนินการออกแบบและสร้างเว็บไซต์ให้ โดยพิจารณาจากฝีมือและความน่าเชื่อถือ เพราะคนที่จะมาทำเว็บไซต์และวางระบบให้กับผู้ประกอบการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังต้องร่วมงานและประสานความร่วมมือในการทำงานกันอีกนานมาก จึงควรต้องพิจารณาในเรื่องของลักษณะนิสัยใจคอและผลงานที่ผ่านมาของผู้ทำ เว็บไซต์และวางระบบด้วย
4.ขั้นตอนสุดท้ายก็คือติดตามผลสำเร็จของงาน เพราะงานการทำเว็บไซต์ไม่ใช่งานเอกสาร จึงต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการมากที่สุด ผู้ประกอบการจึงต้องติดตามความคืบหน้าของงานอยู่ตลอดเวลาจนไปถึงขั้นตอนออนไลน์
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีแนวคิดเป้าหมายที่ชัดเจน ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยจึงจะสามารถพัฒนาองค์กรได้ ผู้ประกอบการจึงควรนำเทคนิคที่มีอยู่แล้วกับเทคนิคสมัยใหม่มาประยุกต์เข้าหากัน เพื่อให้ทันกับยุคเทคโนโลยี

 

มาดูความเหมือนที่แตกต่างของ Online Marketing – Offline Marketing

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตจนแทบจะผันตัวเป็นปัจจัยที่ 6 ที่มนุษย์แทบจะขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะหาข้อมูล อ่านข่าว ช็อปปิ้ง เล่นเกมส์หรือเล่น Social กับเพื่อนๆ ต่างก็ต้องใช้อินเตอร์เน็ตด้วยกันทั้งสิ้น

ผลจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้เอง ทำให้สื่อออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารชิ้นสำคัญที่นักการตลาดพลาดไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นช่องทางการสื่อสารที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมากที่สุดในขณะนี้ หลายๆแบรนด์จึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญและสนใจทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น เพราะการทำการตลาดปัจจุบัน ไม่ได้จบอยู่แค่ออฟไลน์หรือออนไลน์อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นการตลาดแบบผสมผสาน (IMC : Integrated Marketing Communication) จึงไม่แปลกเลยที่หลายๆครั้งจะเห็นชาวออนไลน์แบกกล้องถือรีเฟลคซ์บ้าง ส่วนชาวออฟไลน์ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องออนไลน์เบื้องต้นเพื่อให้คำแนะนำกับลูกค้าได้เช่นกัน และยังมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับออนไลน์อีกมาก วันนี้ลองมาทำความเข้าใจเบื้องต้นกันค่ะ

1. ฮาร์ดเซลคือใช่

จากที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า Smartphone เข้ามามีบทบาทมากในปัจจุบัน ส่งผลให้ Social Media กลายมาเป็น Channel สุดฮิตในขณะนี้ ที่ไม่ว่าผู้บริโภคหรือแบรนด์ก็ต่างใช้งานกันอย่างสนุกสนาน เรื่องของการทำ Content จึงเป็นตัวกลางสำคัญที่จะช่วยเชื่อมให้แบรนด์สื่อสารสิ่งที่แบรนด์ต้องการพูดไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

การทำ Content ในโลกออนไลน์จะมีความแตกต่างจากออฟไลน์ตรงที่สามารถสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงพูดครั้งเดียวแล้วจบเหมือนนิตยสาร แต่เปรียบเสมือนเป็นรายการโทรทัศน์ที่มีให้รับชมกันทุกวัน และสามารถเลือกสร้างสรรค์ลักษณะ Content ได้ว่า จะให้เป็นแบบรายการข่าวตอนเช้าคือพูดข่าวสารของแบรนด์อย่างตรงไปตรงมา เช่นโปรโมชั่นหรือประชาสัมพันธ์แบรนด์หรือจะทำ content แบรนด์ให้เป็นแบบละครหลังข่าวคือใส่ความบันเทิงระหว่างการสื่อสารแบรนด์ ออนไลน์ก็สามารถเป็นได้ทุกบทบาท อาจจะผสมผสานทั้ง 2 ลักษณะเข้าด้วยกันก็เป็นได้ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ติดตามข่าวสารจากแบรนด์ไม่รู้สึกว่าแบรนด์ตึงเครียดและยัดเยียดการขายของมากเกินไป เพราะธรรมชาติของคน ย่อมต้องการรับสารที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและให้ความบันเทิงมากกว่าข่าวสารที่จริงจังตลอดเวลา เห็นได้จากเรตติ้งของละครหลังข่าวที่มักจะพุ่งสูงกว่ารายการข่าวเสมอ เช่นเดียวกัน ใช่ว่าผู้บริโภคที่กดติดตามแบรนด์ จะต้องการรับความฮาร์ดเซลจากแบรนด์อย่างเดียวเสมอไป

2. ต้อง Launch โฆษณาในช่วงที่คนเล่นอินเตอร์เนตเยอะที่สุดเวลาเดียวเท่านั้น

คนออฟไลน์ส่วนใหญ่มักจะเคยชินกับการซื้อ Offline Media ด้วยการซื้อช่วงเวลาการลงโฆษณาในแต่ละสื่อ แต่สำหรับการลงโฆษณาออนไลน์นั้นจะแตกต่างกันออกไป เพราะโฆษณาออนไลน์จะสามารถควบคุมความถี่ของการแสดงโฆษณาในแต่ละช่วงเวลาให้ตรงกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ เช่นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนวัยทำงาน อาจเริ่ม Launch แบนเนอร์ช่วงเช้าในเวลางาน แต่ปรับให้แบนเนอร์แสดงมากที่สุดในช่วงหลังเลิกงานหรือ Prime Time เพราะเป็นช่วงที่คนใช้อินเตอร์เนตมากที่สุด และลดจำนวนลงในช่วงหลังเที่ยงคืน เพราะเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่เข้านอน เป็นต้น

3. ใส่ Effect ในแบนเนอร์ได้เต็มที่เหมือนวีดีโอ

งานออกแบบ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจินตนาการ แต่เราไม่สามารถยัดทุกจินตนาการของเราลงไปในงานออกแบบได้ทั้งหมด การทำแบนเนอร์ก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่ลูกค้าอาจต้องการให้ออกแบบแบนเนอร์โดยอ้างอิงกับสื่ออื่นๆที่ทำ โดยเฉพาะ TVC ซึ่งเป็น สื่อที่มีความเหมือนกับแบนเนอร์คือสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ต่างกันที่ TVC สามารถสร้างสรรค์ Effect ได้มากมายแค่ให้อยู่ภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น แต่สำหรับแบนเนอร์ นอกจากข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาแล้ว ยังมีข้อจำกัดของขนาดไฟล์ซึ่งขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละเว็บไซต์ เช่น การทำแบนเนอร์สำหรับ Google Display Network จะสามารถทำได้เพียง 150 KB เท่านั้น ดังนั้น ความใฝ่ฝันที่จะทำ Effect ไฟฟ้าช็อตเป็นเส้นๆหรือใส่ Effect ระเบิดตู้มแบบในละคร จึงจำต้องสลายไป

4. ข้อความต้องให้เยอะเข้าไว้

ต่อเนื่องจากข้อ 3 ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างของแบนเนอร์ที่ทำให้ใส่ Visual เยอะเท่าที่ใจต้องการไม่ได้ หลายคนจึงเปลี่ยนเป็นขอใส่ Text แทน ได้มั๊ยคะ ทั้งโปรโมชั่นเอย ของรางวัลเอยหรือเงื่อนไขก็ดี ทุกอย่างถูกยัดลงในแบนเนอร์ อย่างที่บอกไปว่าการทำแบนเนอร์ก็เป็นเหมือนการออกแบบงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมองเรื่องของความสวยงามที่จะช่วยดึงดูดความสนใจ ถูกลดทอนลงไปเพราะข้อความที่อัดแน่นเต็มพื้นที่แล้ว ยังทำให้ผู้บริโภคอาจพลาด Message หลักที่แบรนด์ต้องการสื่อสารจริงๆไปได้ เพราะถูกข้อความอื่นๆที่สำคัญรองลงมาแย่งความสนใจไปหมด และแบนเนอร์ก็จะถูกมองข้ามไปในที่สุด

5. ต้อง Keywords นี้เท่านั้นถึงจะดี

นอกจากการโฆษณาบนเว็บไซต์แล้ว Google ก็ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางของที่ช่วยให้เพิ่มยอดขายได้อย่างดี โดยเป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่ทำให้โฆษณาหรือเว็บไซต์ของเราปรากฏในหน้า Google เวลาที่ผู้บริโภคต้องการหาข้อมูล การเลือก Keywords จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญสำหรับการทำโฆษณาบน Google และแน่นอนอยู่แล้วว่า Keywords ที่เลือกใช้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ แต่ใช่ว่าคำที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรงจะต้องเป็น Keywords ที่ดีเสมอไป โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม มักจะเลือก Keywords ที่เป็นศัพท์เฉพาะและน้อยคนนักจะรู้จัก จึงทำให้อาจจะพลาดโอกาสในการได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพราะไม่สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆที่อาจจะยังไม่รู้จักแบรนด์แต่เริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ก็เป็นได้ ทั้งนี้ นอกจากความเกี่ยวข้องกับแบรนด์แล้ว ยังต้องพึ่งพาอัตรา Search Volume ช่วยชั่งน้ำหนักในการตัดสินใจเลือก Keywords ควบคู่กันไป เพราะบางสิ่งที่อาจดีงาม เหมาะสมสำหรับเรา อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับคนอื่นๆ

ถ้าว่ากันตามหน้าที่ เราคือผู้ให้คำแนะนำกับลูกค้าในการทำ Marketing เพื่อให้แบรนด์ของลูกค้าแกร่งกว่าคู่แข่ง แต่ในขณะเดียวกัน ลูกค้าก็คือผู้ให้บทเรียนหลายๆอย่างกับเรา ที่จะเป็นประสบการณ์ให้เราแกร่งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน