การตลาดในรูปแบบ ออฟไลน์และออนไลน์แบบไหนที่จะเหมาะกับธุรกิจSME

สำหรับสื่อออนไลน์ในยุคปัจจุบันนี้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนสื่อแบบออฟไลน์ได้ทั้งหมดโดยสามารถแบ่งเป็นสื่อแบบออฟไลน์เป็นการสื่อสารการตลาดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อินเตอร์เน็ตออนไลน์ก็เป็นการสื่อสารการตลาดโดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็นตัวเชื่อม ซึ่งในการตลาดจำเป็นจะต้องใช้ทั้ง ออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งข้อดีของสื่อแบบออฟไลน์คือคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเห็นได้ทั่วถึงแต่มีราคาแพง สำหรับสื่อแบบออนไลน์ข้อดีคือบางอย่างฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเท่าไรสามารถโปรโมทได้ทั่วถึง
ในปัจจุบันนี้มีการใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นในธุรกิจSMEโดยการสร้างเวปไซต์ขึ้นมาเป็นหน้าร้านค้าในการลงสินค้าเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อ ซึ่งการสร้างเว็บไซต์นั้นสามารถสร้างเองหรือเลือกใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปได้ โดยการสร้างเว็บไซต์ต้องคำนึงว่าจะสื่อถึงอะไร ขายสินค้าเกี่ยวกับอะไรบ้าง เพื่อจะได้เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับธุรกิจนั้น และจะต้องอัพเดทข้อมูลและสินค้าใหม่ตลอด เพื่อให้เกิดการติดตามของลูกค้าและผู้ที่สนใจ นอกจากนี้ควรจะทำเว็บไซต์ของธุรกิจให้ติดอันดับการค้นหาจาก search engine ด้วยเพื่อเป็นการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และยังเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงของธุรกิจมากขึ้นอีกด้วย เพราะเมื่อมีการติดอันดับในหน้า search engine แล้วจะทำให้มีผู้ที่สนใจเข้ามารู้จักกับธุรกิจเพิ่มขึ้นทั้งจะส่งผลให้เพิ่มยอดขายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจด้วย
ทั้งนี้การนำเอาสื่อการตลาดแบบออนไลน์มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากในปัจจุบันเพราะสังคมเป็นสิ่งที่เชื่อมถึงกันแล้ว การตลาดแบบบอกผ่านปากต่อปากนั้นจะมีความรวดเร็วมากขึ้นจากสังคมออนไลน์ เพราะปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนใหญ่จะSocial media เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำธุรกิจ เพราถ้าสินค้าดีมีการอัพเดทตลอดเวลาและมีการบริการที่ดีแล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่อการทำตลาดเป็นอย่างมาก

ฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ว่า การใช้สื่อการตลาดแบบออฟไลน์และแบบออนไลน์ นับเป็นการทำตลาดที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ล้วนแต่เป็นการช่วยสนับสนุนช่องทางการตลาดทั้งสิ้น เพื่อขยายโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นด้วย

การทำการตลาดโลก ออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์

อินเตอร์เน็ต หรือ โลกออนไลน์ นับวันยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะ ธุรกิจ ที่ โลกออนไลน์ คือช่องทางติดต่อสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง หลายองค์กรหรือหลายบริษัทจึงต่อยอดหรือแตกแขนงธุรกิจของตนเข้าสู่ โลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์อย่าง เฟซบุค ทวิตเตอร์

การตลาดในยุคปัจจุบัน หันมาใช้ด้าน Online Marketing มากขึ้น ด้วยเหตุที่ว่า อินเตอร์เน็ตนับมีส่วนสำคัญในการขยายฐานลูกค้าให้แก่ผู้ประกอบการ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าจำนวนมากหันมาค้นหาข้อมูลในโลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกๆ วัน ตลอดจนทั้งการแข่งขันในการเรื่องขอการนำเสนอสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายมีการ แข่งขันการอย่างมาก โดยเฉพาะการทำการตลาดผ่าน Social Media ช่วยให้คุณทำการตลาดได้ง่ายขึ้น และมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการทำการตลาดแบบ ออฟไลน์ เป็นอย่างมาก ประกอบกับการทำการตลาดผ่าน Social Media โดยเฉพาะ Facebook นั้นมีขั้นตอนที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเหมือนเว็บไซต์ และลูกค้าที่กดไลท์ชอบสินค้าหรือบริการของเรายังสามารถแชร์ให้เพื่อนเห็น เกิดเป็น Network มีผลให้สินค้าและบริการของเรามีการแพร่กระจายต่อไปยังผู้บริโภคคนอื่นๆ อีกด้วย  ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ ท่าน ต้องหันมาปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

ออฟไลน์  รูปแบบการทำงานในสมัยเก่า เป็นธุรกิจเครือข่ายในลักษณะที่ไม่มีการใช้เทคโนโลยีทาง internet ใช้วิธีการติดต่อธุรกิจแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า Viral Marketing เพื่อทำการขายสินค้า รวมไปถึงชวนคนเข้าร่วมธุรกิจ

ออนไลน์ รูปแบบการทำการตลาดบน Internet แบบออนไลน์เป็นการทำการตลาดกับผู้ที่ใช้ Search engine หรือ Social Media ซึ่งเทคโนโลยีทางด้าน IT นั้นได้เข้ามาช่วยเหลือทำให้ผู้คนสะดวกสบายมากขึ้น ธุรกรรมต่างๆก็ใช้ website เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อกับผู้คนทั่วโลกที่กำลังออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Email , VDO และสื่อดิจิตอลอื่นๆ

แล้วเราจะเลือกแบบ Online หรือ Offline ดีล่ะ
วิธีการเลือกที่ดีที่สุดนั้นคือเลือกในแบบที่เราถนัด เพื่อสร้างผลลัำพธ์ให้เร็วที่สุดก่อน แล้วต้องรีบศึกษาวิธีที่เราไม่ถนัดควบคู่ไปด้วย เพื่อทำให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคง

โดยจะเห็นว่าปัจจุบันนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีการใช้เทคโนโลยี Online เข้ามาช่วยจะสามารถเติบโตได้เร็ว เพราะเป็นการทำตลาดกับคนได้กว้างขวางกว่า และมีระบบในการคัดกรองคนที่น่าสนใจ ทำให้ลดอัตราการออกของนักธุรกิจ เพราะนักธุรกิจล้วนมีความสนใจอยู่แล้ว ทำให้ไม่เหนื่อยในการทำงาน แต่องค์กรจะมั่นคงได้ก็ต่อเมื่อคนในองค์กรมีการเชื่อมความสัมพันธ์กัน ได้รู้จักกัน มีการช่วยเหลือกัน ก็จะสามารถทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคง

สำหรับนักธุรกิจแบบออฟไลน์ ถ้าหากถนัดด้านนี้ก็ควรใช้ทักษะที่ตัวเองมีหาผู้มุ่งหวังที่เรารู้จักให้ได้เร็วที่สุดก่อน และจะต้องเตรียมศึกษาวิธีออนไลน์ไว้ด้วย เพราะเราจะต้องรู้ความจริงที่ว่าเมื่อผู้มุ่งหวังของเราใกล้หมดเมื่อใด เราก็จำเป็นที่ต้องมีรายชื่อผู้มุ่งหวังใหม่ๆเข้ามา ซึ่งวิธีการทำออนไลน์ก็จะเป็นวิธีที่สามารถส่งทรัพยากรมาให้เราได้อย่างต่อเนื่อง เพราะโลกในยุคปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก การใช้วิธีออฟไลน์ เราจะมาชวนคนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง โดยใช้เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า และไม่รู้ว่าผู้มุ่งหวังจะสนใจหรือไม่ โลกในยุคปัจจุบันคุณจะค่อยๆถูกพวกออนไลน์แซงไปทีละนิด และเมื่อยิ่งเวลาผ่านไปยาวนานเท่าใด คุณจะยิ่งถูกแซงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การใช้วิธีออนไลน์ต้องอย่าลืมจัดระบบการเทรนนิ่งและรักษาคนในองค์ให้ดี เพราะนี่คือจุดอ่อนของวิธีออนไลน์เช่นกัน